กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประกาศรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ปรับลดประมาณการณ์เติบโตเศรษฐกิจโลก ปี 2018 และ ปี 2019 ลงจาก 3.9% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ มาเป็น 3.7% โดย IMF ให้ความเห็นว่า เนื่องจากมีความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจทั่วโลกจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการค้า นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ ร่วมกันรักษาระบบการค้าโลก มิใช่มุ่งที่จะทำลาย

ก่อนหน้านี้ นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวปราศรัยโจมตีจีน ขณะกล่าวถึงเรื่องที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขากล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์  ทรัมป์ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า หากสหรัฐฯ  และจีนไม่สามารถตกลงการค้าที่ยุติธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อกันได้  สหรัฐฯ จะเก็บภาษีต่อสินค้าจีนเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเทียบดูแล้ว ใครเป็นผู้ก่อความไม่มั่นคงทางการเมืองและความเสี่ยงทางการค้า กระทั่งเป็นผู้ทำลายระบบการค้าโลกในสายตาของ IMF คงชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในคำปราศรัยของนายเพนซ์  การกระทำที่ก่อให้เกิดสงครามการค้าโลกดังกล่าว กลับกลายเป็นการกระทำที่ปกป้องตนเองด้วยพลังใหม่ที่สร้างขึ้นโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะฉะนั้น การใช้มาตรการทางภาษี+การเจรจา คงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นของวอชิงตันในการบรรลุเป้าหมายอเมริกามาก่อน (America First) แต่ศิลปะการค้าเช่นนี้ ทำให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ พากันรู้สึกไม่สบายใจ

ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศเป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ข้อตกปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ข้อตกลงปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน องค์การยูเนสโก และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กระทั่งขู่ว่าจะถอนตัวออกจากองค์การการค้าโลกและสหประชาชาติ ความซื่อตรงต่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมอารยะและโลกศิวิไลซ์เคารพมาโดยตลอด ทุกวันนี้กำลังถูกทำเนียบขาวทอดทิ้ง นี่หรือคือบทบาทของสหรัฐฯ ที่กำลังส่องแสงนำการพัฒนาของโลก ตามคำกล่าวของนายเพนซ์?

Min/Tim /zheng