เมื่อต้นปีนี้ ธนาคาร Citi bank และธนาคาร HSBC ได้หยุดธุรกรรมทางการเงินกับบรูไน หนังสือพิมพ์ เอเชีย ไทมส์ รายงานว่า เนื่องจากปีหลังๆ นี้ ราคาพลังงานของทั่วโลกลดลง ทำให้ธุรกิจน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของธนาคารเหล่านี้เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ แต่ทว่า มีธนาคารแห่งหนึ่งกลับพัฒนาธุรกรรมในบรูไน และชดเชยช่องว่างหลังธนาคารถอนตัวออกจากตลาดบรูไน นั่นก็คือธนาคารจีน(Bank of China)
บรูไนเป็นประเทศผลิตน้ำมันใหญ่อันดับที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศผลิตแก๊สธรรมชาติใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก อุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของเศรษฐกิจประชาชาติ ในช่วงปีหลังๆ นี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกแกว่งตัว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจบรูไนเป็นอย่างมาก บรูไนจึงเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนา “ปณิธาน 2035” แสวงหาการพัฒนาเศรษฐกิจหลายด้าน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเตรียมถอนออกจากบรูไนนั้น จีนได้ให้การสนับสนุนอย่างมุ่งมั่น ความจริง เมื่อปี 2016 ธนาคารจีนก็ได้ตั้งสาขาที่บรูไน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจีน
จีนกับบรูไนสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1991 แต่ในปี 2013 สองประเทศก็ตกลงจะยกระดับความสัมพันธ์แบบทวิภาคีให้เป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ปีเดียวกัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเสนอข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” บรูไนสนับสนุนข้อริเริ่มนี้อย่างแข็งขัน สองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงเชื่อมต่อข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” กับ “ปณิธานปี 2035” เข้าด้วยกัน
Bo/LR/Ci