สถานีวิทยุซีอาร์ไอ รายงานว่า นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มเยือน 4 ประเทศลาตินเมริกา ได้แก่ ชิลี ปารากวัย เปรู และโคลอมเบีย ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อประสานจุดยืนกับประเทศเหล่านี้ในประเด็นปัญหา เวเนซุเอลา พร้อมทั้งต้องการให้ประเทศเหล่านี้สนับสนุนนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงเตรียมใช้มาตรการคว่ำบาตรเวเนซุเอลามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า นายปอมเปโอ เปิดประเด็นผิดตั้งแต่แรก เมื่อเขาเดินทางถึงชีลีประเทศแรกที่ไปเยือน เขากล่าวข่มขู่ประเทศลาตินอเมริกาว่า จีนและรัสเซียกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูลาตินอเมริกา หากยอมให้จีนและรัสเซียเข้ามาในบ้าน จีนและรัสเซียย่อมจะสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศลาตินอเมริกา นอกจากนี้ นายปอมเปโอ ยังกล่าวหาจีนว่า การลงทุนในเวเนซุเอลาของจีนจะสร้างความเสียหายร้ายแรง
คำพูดของ นายปอมเปโอดังกล่าวไร้สาระ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฯ คนก่อนเคยกล่าวทำนองเดียวกันมาแล้วว่า จีนจะใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเอาใจประเทศลาตินอเมริกา หากปล่อยให้จีนทำเช่นนี้ต่อไป ประเทศลาตินอเมริกาจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าเสียหาย คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยแนวความคิดสงครามเย็นและมุ่งที่จะสร้างความบาดหมางให้แก่จีนและประเทศลาตินอเมริกาเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลและความเดือดร้อนของสหรัฐฯ ที่เกิดจากการมีบทบาทลดลงในลาตินอเมริกา นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังไม่พอใจและกังขาในเรื่องความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งระหว่างจีนกับประเทศลาตินอเมริกาที่อำนวยประโยชน์แก่กัน
ระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สหรัฐฯ ถือลาตินอเมริกาเป็นสถานที่ทดลองใช้ลัทธิครองความเป็นเจ้า การเมืองที่ถืออำนาจบาตรใหญ่ และสถานที่ส่งออกระบอบเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงค่านิยมของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ในปลายทศวรรษ 1980 สหรัฐฯ ส่งกองทัพเข้าไปในประเทศปานามา และจับกุมตัวนายมานูเอล นอริเอกา หัวหน้ารัฐบาลปานามาในขณะนั้น อีกทั้งยังดำเนินนโยบายเศรษฐกิจลัทธิเสรีใหม่ (neo-liberal economic policies) เพื่อควบคุมเส้นชีวิตแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศลาตินอเมริกา ทำให้ประเทศลาตินอเมริกาตกอยู่ในสภาวะต้องพึงพาเงินทุนและเทคโนโลยีจากภายนอกอย่างลึกซึ้ง จนถึงขั้นวิกฤต ด้วยสาเหตุดังกล่าว นักวิชาการอาเจนตินาได้แสดงความเห็นว่า ในช่วง 10 ปีที่สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจลัทธิเสรีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศลาตินอเมริกาประสบความเสียหายอย่างร้ายแรง ด้านนักวิชาการบราซิลมองว่า นี่เป็นกับดักของสหรัฐฯ
จนถึงทุกวันนี้ สหรัฐฯ ยังคงปฏิบัติต่อประเทศลาตินอเมริกาเหมือนเป็นสนามหลังบ้านของตัวเอง สั่งให้ประเทศเหล่านี้ปฏิบัติตามความต้องการของตนเองตามอำเภอใจ ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ไม่ยอมรับผู้อพยพจากประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างกำแพงกั้นแนวพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกเท่านั้น หากยังขู่ว่า จะส่งกองทัพไปสกัดกั้นคาราวานผู้อพยพจากฮอนดูรัส นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังลดความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศในแถบแคริเบียน พร้อมกับกล่าวหาประเทศเหล่านี้ว่า ไม่เต็มใจควบคุมผู้อพยพ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังย้ำตลอดว่า สหรัฐฯ ต้องเป็นที่หนึ่ง และยุให้บริษัทสหรัฐฯ ลดการลงทุนในประเทศลาตินอเมริกา จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ลองคิดดูว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนการพัฒนาของประเทศลาตินอเมริกา
เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ แล้ว จีนกับประเทศลาตินอเมริกาและประเทศแคริเบียนไม่เคยมีความบาดหมางกันในประวัติศาสตร์ และไม่มีการปะทะกันในยุคปัจจุบัน ซ้ำยังมีส่วนเกื้อกูลในการพัฒนาประเทศของกันและกัน ดังนั้น ในกระบวนการแสวงหาหนทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพภายในประเทศ จีนและประเทศลาตินอเมริกา รวมถึงประเทศในแถบแคริเบียน จึงมีความเข้าใจกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนับวันมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ มูลค่าการค้าระหว่างจีนและประเทศลาตินอเมริกามีกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จีนได้กลายเป็นหุ้นส่วนการค้าใหญ่ที่สุดของหลายประเทศลาตินอเมริกา เช่น ชิลี เปรู และบราซิล ส่วนความร่วมมือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” บนพื้นฐานของหลักการ “ร่วมปรึกษา ร่วมสร้าง และร่วมแบ่งปันประโยชน์” นั้น กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ในการดำเนินความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กัน และได้ชัยชนะร่วมกันระหว่างจีนและประเทศลาตินอเมริกา
เห็นได้ชัดว่า การลงทุนของจีนในลาตินอเมริกาเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศลาตินอเมริกา ไม่ใช่กับดักหนี้สินอย่างเด็ดขาด นายไมค์ ปอมเปโอ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มองข้ามข้อเท็จจริงและใส่ร้ายจีนโดยเจตนา จึงถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ เช่น นายสีว์ ปู เอกอัครราชทูตจีนประจำชิลี ได้วิจารณ์ว่า นายไมค์ ปอมเปโอ ขาดสติไปแล้ว ส่วนนาย อันเดรย์ แชดวิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชิลี กล่าวว่า ชิลีไม่ต้องการให้ใครมาตักเตือนเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศหรือการไปร่วมมือกับประเทศอื่น
แท้ที่จริงแล้ว ประเทศลาตินอเมริกาได้เห็นกับตาถึงความสำเร็จของจีนจากการพัฒนา การดำเนินนโยบายปฏิรูปเปิดประเทศในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการใช้ความพยายามของจีนในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ลาตินอเมริกา นอกจากนี้ ปีหลัง ๆ นี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังเดินทางเยือนลาตินอเมริกาหลายครั้ง ซึ่งได้ยกระดับความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ รวมไปถึงเสริมสร้างพื้นฐานความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ขณะนี้ จีนกำลังเร่งผลักดันการปฏิรูปและเปิดประเทศครั้งใหม่ ถือเป็นโอกาสที่จีนมอบให้ทั่วโลก ลาตินอเมริกาที่ถือการพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญในอันดับแรกคงไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ภายใต้กระแสการพัฒนาเช่นนี้ คำพูดไร้สาระจากแนวคิดสงครามเย็นอาจเป็นประเด็นของสื่อในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่อาจขัดขวางความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันระหว่างจีนและลาตินอเมริกาได้
(tim/cai)