ท่านผู้ฟังครับ การประชุมสุดยอด“หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศครั้งแรกจัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมปี 2017 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวคำปราศรัยใน หัวข้อ “ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21 ” ในพิธีเปิดการประชุมครั้งนั้น
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากกว่า 100 ประเทศเดินทางมากรุงปักกิ่ง เพื่อร่วมวางแผนความร่วมมือในการสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ซึ่งจะมีความหมายสำคัญยิ่ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ร่วมการประชุมทุกท่านจะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” และให้โครงการแห่งศตวรรษนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน บรรพบุรุษของชาวจีนบุกเบิกเส้นทางโดยข้ามทุ่งหญ้าและทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างไกลด้วยความยากลำบากมาก เพื่อเปิดเส้นทางสายไหมทางบกที่เชื่อมต่อเอเชีย-ยุโรป-แอฟริกา บรรพบุรุษของชาวจีนยังได้เดินเรือต่อสู้กับคลื่นทะเลที่รุนแรง เพื่อเปิดเส้นทางสายไหมทางทะเลที่เชื่อมภาคตะวันออกและตะวันตกของโลก เส้นทางสายไหมโบราณได้เปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆสามารถไปมาหาสู่กันอย่างฉันมิตรได้ และได้เปิดบันทึกหน้าใหม่แห่งการพัฒนา ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ ทุกวันนี้ “ตัวไหมเนื้อสัมฤทธิ์ชุบทอง” โบราณวัตถุเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์นับพันปี ยังคงจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซีของจีน รวมทั้ง “ซากเรือโบราณจีน” ที่มีประวัติศาสตร์นับพันปีเช่นกัน ซึ่งพบในบริเวณน่านน้ำหมู่เกาะเบอลีตุงของอินโดนีเซีย ล้วนเป็นสักขีพยานที่ดีของประวัติศาสตร์การบุกเบิกเส้นทางสายไหมของชาวจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า เส้นทางสายไหมที่มีระยะทางนับหมื่นนับพันลี้ และมีประวัติศาสตร์นับพันปีเป็นแหล่งกำเนิดเจตนารมณ์แห่งสันติภาพ ความร่วมมือ การเปิดกว้าง การยอมรับกัน การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การอำนวยประโยชน์แก่กันและการมีชัยชนะร่วมกัน นี่เป็นมรดกอันล้ำค่าของอารยธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ
ด้านสันติภาพและความร่วมมือ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีนเมื่อประมาณ 140 ปีก่อนคริสต์ศักราช “จางเชียน” ทูตของจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นเดินทางออกจากกรุงฉางอัน เมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่น ไปยังดินแดนภาคตะวันตก เพื่อภารกิจแห่งสันติภาพและการเชื่อมต่อดินแดนภาคตะวันออกกับภาคตะวันตก หลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษ ในสมัยราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์หยวน เส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเลมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นพร้อมกัน นักเดินทางจากประเทศต่างๆ เช่น ตู้หวน-ชาวจีน มาร์โคโปโล-ชาวอิตาเลียน และอิบัน บาตูตาห์(Ibn Batutah)-ชาวโมร็อกโก ต่างได้ทิ้งรอยเท้าไว้บนเส้นทางสายไหม เมื่อต้นศตวรรษที่ 15 “เจิ้งเหอ” นักเดินเรือชื่อดังของจีนในสมัยราชวงศ์หมิงนำขบวนเรือมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันตกถึง 7 ครั้ง จนถึงทุกวันนี้ ความสำเร็จของเจิ้งเหอ ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนยุคปัจจุบัน
ภารกิจบุกเบิกเส้นทางสายไหมเหล่านี้ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผู้บุกเบิกเหล่านี้พิชิตเส้นทางสายไหมด้วยเรือรบ ปืน หรือดาบ แต่เป็นเพราะว่า ภารกิจที่พวกเขาดำเนินกันเป็นภารกิจสันติภาพ พวกเขาได้นำขบวนอูฐและขบวนเรือที่บรรทุกทรัพย์สมบัติจำนวนมากไปบุกเบิกเส้นทางใหม่ นักเดินทางที่บุกเบิกเส้นทางสายไหมทุกรุ่นได้สร้างสะพานเชื่อมสันติภาพและความร่วมมือระหว่างตะวันออกกับตะวันตกของโลก
ด้านการเปิดกว้างและยอมรับกัน เส้นทางสายไหมโบราณข้ามลุ่มแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำไนล์ แม่น้ำไทกริส แม่น้ำยูเฟรทีส แม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา แม่น้ำหวงเหอ และแม่น้ำแยงซี ได้เชื่อมต่อแหล่งกำเนิดอารยธรรมอียิปต์ บาบิโลเนียน อินเดีย และจีน เชื่อมต่อดินแดนที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม รวมทั้งแหล่งชุมชนของประชาชนที่อยู่ในประเทศและมีเชื้อชาติที่ต่างกัน เส้นทางสายไหมนี้ทำให้ประชาชนที่มีอารยธรรม ศาสนา และเชื้อชาติต่างกัน สามารถแสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง เปิดกว้างและยอมรับกันได้ จากการแลกเปลี่ยนเป็นเวลายาวนาน ประชาชนในพื้นที่รายทาง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”ได้บ่มเพาะเจตนารมณ์แห่งการเคารพซึ่งกันและกัน และร่วมกันใช้ความพยายามเพื่อการพัฒนาร่วมกัน เมืองโบราณต่างๆ เช่น จิ่วเฉวียน, ตุนหวง, ถูหลู่ฟัน, คาสือ, ซามาร์คันด์, แบกแดด, คอนสแตนนิโนเปิล และท่าเรือโบราณต่างๆ เช่น ท่าเรือหนิงโป, กว่างโจว, เป๋ยไห่, โคลัมโบ, เจดดะฮ์ และอเล็กซานเดรีย ล้วนเสมือนเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชีวิตที่ได้บันทึกประวัติศาสตร์ดังกล่าวไว้ ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อใดมีการเปิดสู่ภายนอก อารยธรรมก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะประเทศชาติต่างๆ มีโอกาสพัฒนาเติบโตขึ้นจากการแลกเปลี่ยน
และศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เส้นทางสายไหมโบราณไม่เพียงเป็นเส้นทางทางการค้าเท่านั้น หากยังเป็นเส้นทางสำหรับการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ด้วย ผ้าไหม เครื่องกระเบื้อง เครื่องเขิน เครื่องเหล็กของจีนถูกขนส่งไปยังประเทศตะวันตก ขณะที่พริก ผ้าลินิน เครื่องเทศ องุ่น และทับทิมของประเทศตะวันตกถูกนำเข้าสู่จีนผ่านเส้นทางสายไหม อีกทั้งศาสนาพุทธ อิสลาม ดาราศาสตร์ ปฏิทิน และยารักษาโรคของอาหรับก็ถูกเผยแพร่มาสู่จีนผ่านเส้นทางสายไหมด้วย นอกจากนี้ 4 สิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่และเทคนิคเลี้ยงไหมของจีนก็ได้รับการเผยแพร่ไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกผ่านเส้นทางสายไหมเช่นกัน และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านี้คือ การแลกเปลี่ยนสินค้าและวิชาความรู้นั้นกระตุ้นให้เกิดแนวความคิดใหม่ๆขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธกำเนิดที่อินเดีย แต่มาเจริญรุ่งเรืองขึ้นที่จีน และได้รับการสืบทอดที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลัทธิขงจื๊อกำเนิดที่จีน แต่ได้รับการยกย่องนับถือจากนักคิดยุโรป เช่น ไลมป์นิท(Leibniz) และวอลแตร์ (Voltaire) เป็นต้น นี่ก็คือผลและเสน่ห์แห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ด้านอำนวยประโยชน์แก่กันและได้ชัยชนะร่วมกัน เส้นทางสายไหมโบราณเป็นสักขีพยานแห่งการไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนและการค้าขาย ระหว่างประเทศตะวันออกกับตะวันตกผ่านเส้นทางสายไหมทางบกและทะเล บนเส้นทางสายนี้ ปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น เงินทุน เทคโนโลยี บุคลากรสามารถหมุนเวียนได้อย่างเสรี สินค้า ทรัพยากร และความสำเร็จต่างๆ ถูกนำมาแบ่งปันกัน เมืองสำคัญต่างๆ เช่น อัลมาตี, ซามาร์คันด์, ฉางอัน และเมืองท่าสำคัญต่างๆ เช่น เมืองซู , กว่างโจว ต่างมีความเจริญรุ่งเรืองมาก อาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น จักรวรรดิโรมัน, ราชอาณาจักรคูซาน ก็มีความเจริญรุ่งเรืองมากเช่นกัน ราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ถังของจีนได้เข้าสู่ยุคทอง เส้นทางสายไหมโบราณได้นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ภูมิภาคนี้ และช่วยกระตุ้นการพัฒนาของภูมิภาคนี้ให้เติบโตขึ้นด้วย
ประวัติศาสตร์เป็นครูที่ดีที่สุดของพวกเรา ประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหมที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมากแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะห่างไกลกันมากแค่ไหน ขอแต่กล้าก้าวออกไปก้าวแรก และหันหน้าเข้าหากัน ก็จะสามารถก้าวไปสู่หนทางแห่งการติดต่อไปมาหาสู่กัน มีความเข้าใจกัน และพัฒนาร่วมกัน ก้าวไปสู่อนาคตที่มีสันติสุข และกลมกลืนกันได้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า หากมองในแง่ประวัติศาสตร์และสังคม ประชาคมมนุษย์ได้เดินมาถึงยุคแห่งการพัฒนา การปฏิรูป และการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ปัจจุบัน ความเป็นหลายขั้วของโลก เศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ สังคมดิจิทัล และความหลากหลายทางวัฒนธรรมกำลังพัฒนาในระดับลึกซึ้ง สันติภาพและการพัฒนานับวันมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น การปฏิรูปและนวัตกรรมมีความคืบหน้าต่อไป ความผูกพันระหว่างประเทศต่างๆ มีความใกล้ชิดกว่าช่วงเวลาใดในอดีต ความปรารถนาที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนประเทศต่างๆ มีความเข้มข้นกว่าช่วงเวลาใดในอดีต วิธีการเอาชนะความยากลำบากต่างๆ นาๆของประชาคมมนุษย์มีความหลากกว่าช่วงเวลาใดในอดีต
หากมองในแง่สภาพความเป็นจริง โลกกำลังเผชิญกับการท้าทายต่างๆ มากมาก เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจโลกต้องการมีพลังขับเคลื่อนใหม่ การพัฒนาต้องครอบคลุมในขอบเขตที่กว้างยิ่งขึ้น และมีความสมดุลกันมากขึ้น ช่องว่างระหว่างความยากจนกับความร่ำรวยต้องลดน้อยลง ประเด็นร้อนในบางภูมิภาคทำให้เกิดสถานการณ์ปั่นป่วน ลัทธิก่อการร้ายยังคงระบาดต่อไป สรุปได้ว่า ตัวเลขแดงทางสันติภาพ การพัฒนา และการบริหารโลกเป็นการท้าทายที่สังคมมนุษย์กำลังเผชิญอยู่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ไตร่ตรองถึงแนวทางแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ตลอดเวลา
ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเสนอข้อริเริ่มร่วมสร้าง “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม” และ “เส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21” หรือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ระหว่างเยือนคาซัคสถาน และอินโดนีเซียตามลำดับ จีนมีสุภาษิตว่า “ต้นท้อและต้นพลัมไม่จำเป็นต้องออกปากพูด แต่แรงดึงดูดของมันก็ทำให้ใต้ต้นมีทางเดินเกิดขึ้นเอง” ช่วงหลายปีมานี้ 100 กว่าประเทศและองค์กรระหว่างประเทศได้สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ได้บรรจุเนื้อหาการสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”อยู่ในมติที่สำคัญ ปัจจุบัน วิสัยทัศน์สร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” กำลังเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และประสบความสำเร็จที่น่าพอใจ