นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเหวย ปีนี้อายุ 75 ปี หลายปีก่อนเคยผ่าตัดสองครั้งเนื่องจากโรคมะเร็ง เป็นคนที่ชอบอยู่เงียบๆ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ไม่เคยจัดแถลงข่าวด้วยตนเอง เขาคิดว่าชีวิตนี้อาจจะอยู่อย่างสบาย และสงบตลอดไป
แต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาต้องออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากสื่อใหญ่ ๆ ทั้งจากจีน อังกฤษ สหรัฐฯ และเยอรมนี สาเหตุมากจากการที่เมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวของเขาถูกทางการแคนาดาควบคุมตัวเกือบครึ่งปี โดยไม่ได้กระทำผิดกฎหมายของแคนาดา และสหรัฐฯ พยายามใช้วิธีต่างๆ คุกคามหัวเหวยในระดับสุด ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ เช่นการกล่าวหาว่าหัวเหวยติดตั้ง back doorไว้ในอุปกรณ์ของหัวเหวยเพื่อสอดแนม แต่จนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยมีหลักฐานยืนยัน
นายเหริน เจิ้งเฟยเป็นทหารผ่านศึก เมื่อหลายสิบปีก่อน เขายืมเงิน 21,000 หยวนเดินทางมาเมืองเซินเจิ้น จัดตั้งบริษัทหัวเหวย ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนร้อยเปอร์เซ็นต์ ยืนหยัดที่จะไม่เข้าตลาดหุ้น เพราะไม่ต้องการถูกควบคุม และมุ่งแต่หาผลกำไรจากบรรดานายทุน ซึ่งไม่ตรงกับเป้าหมายการและอุดมการณ์ในการจัดตั้งบริษัท เขาแค่ต้องการสร้างอนาคตที่ดีงามให้กับมนุษยชาติ
นายเหริน เจิ้งเฟยกล่าวว่า สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ไม่นำบริษัทหัวเหวยเข้าตลาดหลักทรัพย์คือ หัวเหวยไม่ต้องการเงินทุนจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะว่าเรามีเงินมากพอแล้ว
ปี 2018 ยอดจำหน่ายของบริษัทหัวเหวยคิดเป็น 721,200 ล้านหยวน ราว100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน หัวเหวยลงทุนจัดตั้งศูนย์วิจัยเทคโนโลยี 26 แห่งทั่วโลก มีนักคณิตศาสตร์กว่า 700 คน นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์กว่า 800 คน นักเคมีกว่า 120 คน มีพนักงานทั้งหมด 180,000 คน รายได้เฉลี่ยต่อปี 1 ล้านหยวน ราว 5 ล้านบาท
บริษัทหัวเหวยลงทุนมหาศาลในการวิจัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม ปี 2018 มีการลงทุน 11,334 ล้านยูโรในการวิจัย คิดเป็น 14.7% ของยอดการจำหน่ายในปี 2018 สูงกว่าบริษัทแอปเปิล ที่ใช้งบวิจัย 5.1%
ดังนั้น ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของบริษัทหัวเหวยเป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีระบบ 5G
ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายเหริน เจิ้งเฟยจัดแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น ขณะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว นายเหริน เจิ้งเฟยกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯประณามว่าหัวเหวยขโมยเทคโนโลยี (5G) ของเขา แต่เทคโนโลยีของเรานำหน้าสหรัฐฯอย่างน้อย 2 – 3 ปี ผมไม่ทราบว่าต้องไปขโมยจากที่ไหน
ขณะตอบคำถามผู้สื่อข่าวจากกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศขยายเวลาห้ามบริษัทของสหรัฐ ทำธุรกรรมกับบริษัทหัวเหวยไปอีก 90 วัน นักข่าวถามว่าหมายถึงหัวเหวยได้รับใบอนุมัติประกอบกิจการชั่วคราวอีก 90 วัน ใช่หรือเปล่า
นายเหริน เจิ้งเฟยตอบว่า สำหรับบริษัทของเรา 90 วันไม่มีความหมาย สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องทำของเราให้ดีเป็นปกติ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมบริษัทหัวเหวย และเราก็ไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นกัน แต่ผมขอถือโอกาสครั้งนี้ กล่าวขอบคุณบริษัทสหรัฐฯ ที่ช่วยให้ 30 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเติบโตของบริษัทหัวเหวย ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากจากบริษัทของสหรัฐฯ ปัจจุบัน บริษัทที่ปรึกษาของหัวเหวยส่วนใหญ่เป็นบริษัทสหรัฐฯ เช่น IBM เอคเซนเจอร์ (Accenture) เป็นต้น
ขณะนี้ บริษัทเราถูกจัดเข้าบัญชีรายการเอนทิตี (Entity list) บริษัทสหรัฐฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับหัวเหวย ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาล สหรัฐฯ เป็นประเทศที่บริหารตามระบบกฎหมาย บริษัทของสหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น สื่อมวลชนก็อย่าไปด่าบริษัทของสหรัฐฯ ถ้าด่าก็ควรไปด่ารัฐบาล เพราะบริษัทสหรัฐฯ และบริษัทของเรามีชะตากรรมร่วมกัน เราเป็นตัวหลักในเศรษฐกิจตลาด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบัน หัวเหวยเผชิญกับสถานการณ์ที่สลับซับซ้อน บางคนเป็นห่วงว่า หัวเหวยจะอยู่รอดหรือไม่
นายเหริน เจิ้งเฟย ตอบปัญหานี้ด้วยการกล่าวเรื่องประวัติศาสตร์ว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีไม่ยอมจำนน สุดท้ายถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มเกือบหมด ญี่ปุ่นยอมจำนน และสามารถรักษาระบบกษัตริย์ แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมก็ถูกถล่มเกือบหมด แต่หลังสงครามอีกไม่นาน เยอรมนีก็ฟื้นฟูเจริญขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากพื้นฐานการศึกษาของเขา ได้ฝึกอบรมบุคลากรที่มีความรู้ระดับสูงค่อนข้างมาก ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราสามารถสูญเสียทุกอย่าง แต่คุณภาพของคน ความรู้ความสามารถในการทำงานของคน และความมั่นใจของคน สูญเสียไม่ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับปัญหาชิป ได้อ่านข่าวเกี่ยวการให้สัมภาษณ์สื่อของญี่ปุ่น คุณบอกว่าไม่ต้องการชิปของสหรัฐฯ เพราะหัวเหวยไม่มีปัญหา บริษัทหัวเหวยเคยเขียนจดหมายถึงพนักงานทั้งหมดว่า บริษัทเรามีการเตรียมพร้อม มีความมั่นใจ ขอถามว่าหัวเหวยมีการเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง
คุณลุงเหริน เจิ้งเฟย ตอบว่า เราต้องการชิปของสหรัฐฯ โดยตลอด บริษัทสหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ไปขออนุมัติจากรัฐบาล ถ้าขออนุมัติผ่าน เราก็จะซื้อผลิตภัณฑ์ของเขา หรือขายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทของสหรัฐฯ เช่นกัน เราจะไม่ปฏิเสธสหรัฐฯ เราไม่ควรจิตใจคับแคบ ไม่เติบโตด้วยตนเอง แต่จะพัฒนาพร้อมกับบริษัทของสหรัฐฯ แต่ถ้าฝ่ายสหรัฐฯ หยุดการซัพพลายสินค้า เราก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าเราสามารถผลิตชิปนิวไฮเทคสุดยอดเกือบทั้งหมด ใน “ช่วงสันติภาพ” เราดำเนินนโยบาย “1+1” คือซื้อชิปของบริษัทสหรัฐฯ ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเราผลิตเอง แม้ว่าต้นทุนของชิปที่เราผลิตเองจะต่ำมาก แต่เราก็ยังจ่ายราคาสูงไปซื้อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ เพราะมิตรภาพระหว่างบริษัทหัวเหวยกับบริษัทสหรัฐฯ มีขึ้นตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ซึ่งจะไม่ถูกทำลายจากข้อห้ามฉบับใดฉบับหนึ่ง ในอนาคต เรายังจะซื้อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ จำนวนมหาศาล ถ้าบริษัทสหรัฐฯ สามารถผ่านการตรวจสอบของวอชิงตัน ถ้าเป็นไปได้ เราจะคงไว้ซึ่งการค้าที่เป็นปกติกับบริษัทของสหรัฐฯ ร่วมกันสร้างสังคมสารสนเทศ แต่ไม่ใช่สร้างสรรค์สังคมสารสนเทศฝ่ายเดียว ข่าวของสื่อมวลชนญี่ปุ่นดังกล่าวคงมีความเข้าใจผิดไปหน่อย ที่บอกว่าเราสามารถทำชิปเหมือนกับสหรัฐฯ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ซื้อชิปของสหรัฐฯ
(Bo/Lin)