ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ก็เข้าสู่ช่วง ปิดเทอมฤดูร้อนแล้ว โดยปกติ จะปิดภาคเรียนนานที่สุดถึง 50 วัน ปีนี้ ตั้งแต่อาทิตย์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม และวันที่ 1 กันยายน จะเป็นวันต้นภาคการศึกษาใหม่ของทั้งโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยมและอุดมศึกษาของจีน
ในจีน ไม่ว่าโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม ตลอดจนมหาวิทยาลัย ต่างปิดภาคเรียน 2 ครั้งต่อปี คือปิดภาคเรียนฤดูหนาวกับฤดูร้อน โดยการปิดเทอมฤดูหนาวจะมีประมาณ 1 เดือน อยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ข้ามช่วงตรุษจีน ส่วนการปิดเทอมฤดูร้อน จะนานถึง 40-50 วัน ตั้งแต่ต้นหรือกลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม
โรงเรียนอนุบาล โดยทั่วไปจะรับเด็กเข้าเรียนตั้งแต่อายุครบ 3 ขวบ เรียน 3 ปี แล้วจะเข้าเรียนโรงเรียนชั้นประถมต่อ ในจีน มีโรงเรียนอนุบาลของรัฐและเอกชน อนุบาลของรัฐ คิดค่าเล่าเรียนน้อยกว่า ไม่ถึง 2,000 หยวนต่อคนต่อเดือน มีจำนวนน้อยกว่า และมีเงื่อนไขเข้าเรียนค่อนข้างเข้มงวด ต้องมีบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้โรงเรียน หรือเด็กมีภูมิลำเนาในบริเวณ ไม่เช่นนั้น จะขอเข้าเรียนไม่ได้ ส่วนของภาคเอกชน จะมีจำนวนมากกว่า ในเขตชุมชนเกือบทุกแห่ง จะมีโรงเรียนอนุบาลอย่างน้อย 1 แห่ง ถ้าเป็นเขตชุมชนใหญ่ จะมีหลายแห่งก็ได้ ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่เข้มงวด เด็กที่อยู่ใกล้หรือไกล ก็เข้าเรียนได้ แต่ค่าเล่าเรียนจะแพงกว่า จาก 4-5 พันถึง 7-8 พันกว่าหยวน บางแห่งเนื่องจากมีชื่อเสียง มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีครูต่างชาติ ค่าเล่าเรียนจะมากกว่า 10,000 หยวน บางแห่งยังเปิดชั้นเรียนสำหรับเด็ก 2 ขวบครึ่ง พ่อแม่ถ้าไม่มีเวลาดูแลลูก พอถึง 2 ขวบครึ่ง ก็ฝากที่โรงเรียนได้ ครูจะสอนเด็กดูแลตนเอง เช่นเข้าห้องน้ำ กินข้าว และแต่งตัว
กระทรวงศึกษาธิการของจีนกำหนดว่า เด็กที่อายุครบ 6 ขวบ จะต้องเข้าโรงเรียนชั้นประถม เนื่องจากแต่ละปี วันที่ 1 กันยายนเป็นวันเปิดเทอมใหม่ เด็กที่วันคล้ายวันเกิดก่อนวันที่ 1 กันยายน เมื่อครบ 6 ขวบ ก็ต้องเข้าเรียน แต่หลังวันที่ 1 กันยายน ก็ต้องรออีกหนึ่งปี
การศึกษาภาคบังคับของจีนเป็นเวลา 9 ปี โดยทั่วไปคือชั้นประถม 6 ปีและชั้นมัธยมตอนต้น 3 ปี โรงเรียนบางแห่งแบ่งเป็นชั้นประถม 5 ปี ชั้นมัธยม 4 ปี ในชั้นประถม 5 ปีหรือ 6 ปีนั้น นักเรียนต้องเรียนภาษาจีน คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีวิชาบังคับอีกหลายวิชา รวมถึงพลศึกษา ดนตรี วิจิตรศิลป์และวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นโรงเรียนดีจะสามารถเชิญครูหลายสาขาวิชาไปสอนพิเศษได้ เช่นโรงเรียนเฉา หยาง สือ เยี่ยน (โรงเรียนสาธิตเฉาหยาง)ของกรุงปักกิ่ง นอกจากสาขาวิชาที่บังคับต้องเรียนแล้ว ยังเปิดสอนอีกหลายวิชา รวมถึงงิ้วปักกิ่ง งิ้วท้องถิ่น การเขียนลายมือพู่กันจีน การปรุงอาหาร การออกแบบเสื้อผ้า การปลูกผัก กังฟู ตลอดจนการเล่นดนตรี เช่นกลองแอฟริกา กลองชุด ฟลูต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเรียนพิเศษหลังเลือกเรียน เช่น ซูโดกุ การเต้นรำ การเต้นเชียร์ลีดเดอร์ การทำเครื่องบินจำลองบังคับวิทยุ