เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำเนียบขาวของสหรัฐฯเรียกร้องให้ผู้แทนทางการค้าของสหรัฐฯ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้องค์การการค้าโลกปฏิรูปสถานะสมาชิกของประเทศกำลังพัฒนา โดยขู่ว่า หากไม่ได้รับผลคืบหน้าภายในเวลา 90 วัน สหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ปฏิบัติการในรูปแบบของตัวเอง การกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ มองข้ามและเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกอย่างเปิดเผย และเป็นพฤติการณ์ที่เน้นผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก และยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล
หลังจากจีนพัฒนาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกตั้งแต่เมื่อปี 2010 เป็นต้นมา สหรัฐฯ ก็พยายามที่จะตัดสิทธิความเป็นประเทศกำลังพัฒนาของจีนมาโดยตลอด
การพิจารณาว่าประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือไม่ ต้องพิจารณาจากดัชนีหลายประการ ซึ่งรวมถึงปริมาณทางเศรษฐกิจโดยรวม ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ยต่อคน ความสามารถด้านการสร้างสรรค์ และการกระจายรายได้แห่งชาติ เป็นต้น จีนมีประชากรจำนวน 1,400 ล้านคน ถึงแม้ว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมคิดเป็นเงิน 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ยไม่ถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน ซึ่งยังไม่ถึงระดับเฉลี่ยของโลก และยังไม่ถึง 1 ใน 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ยต่อคนของสหรัฐฯ อีกด้วย นอกจากนี้ การพัฒนาของจีนยังไม่สมดุลและไม่เต็มที่ ถึงแม้ว่าจีนมีกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นมหานครที่ทันสมัย แต่ก็ยังมีอำเภอยากจนระดับชาติกว่า 500 แห่ง และมีประชากรยากจนจำนวนกว่า 16 ล้านคน
ช่องว่างระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่แท้จริง เป็นช่องว่างระหว่างประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลกกับประเทศพัฒนาแล้วที่ใหญ่ที่สุดของโลก การที่สหรัฐฯ พิจารณาจากดัชนีปริมาณเศรษฐกิจรวมของจีนอย่างเดียว ปฏิเสธเรื่องการที่จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนานั้นถือเป็นเรื่องไร้เหตุผลและรับไม่ได้
จีนในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก ยินยอมแบกรับภาระที่เหมาะสมกับระดับและความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และจะปกป้องสิทธิประโยชน์ของบรรดาประเทศสมาชิกกำลังพัฒนาอย่างชัดเจนและมั่นคง
(Bo/Zhou)