เมืองเซินเจิ้น
วันที่ 1 ตุลาคม เป็นวาระครบรอบ 70 ปีการสถาปนาจีนใหม่ ช่วง 70 ปีที่ผ่านมา จีนพัฒนาจากประเทศยากจนมากของโลก กลายเป็นประเทศใหญ่ด้านเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ทำให้ชาวโลกเกิดความสนใจว่า ช่วง 70 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับจีน
ขณะที่เศรษฐกิจพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ชาวจีนได้ผ่านช่วงที่กินไม่อิ่มมาเป็นการใช้ชีวิตอย่างพอกินพอใช้ ปี 1952 รายได้เฉลี่ยต่อคนมีเพียง 119 หยวน จนถึงสิ้นปี 2018 รายได้เฉลี่ยต่อคนของจีนมีถึง 9,732 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่ารายได้เฉลี่ยของประชาชนในประเทศพัฒนาระดับปานกลาง
ขณะที่เศรษฐกิจพัฒนาดีขึ้น การหางานทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก ปี 1949 อัตราการว่างงานของจีนสูงถึง 23.6% หลังจากจีนดำเนินนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศแล้ว ยอดปริมาณการมีงานทำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะปี 2013- 2018 เมืองต่างๆ ของจีนเพิ่มโอกาสด้านตำแหน่งงานกว่า 13 ล้านตำแหน่ง
ด้านการอุปโภคบริโภค ปี 2018 ค่าใช้จ่ายด้านการบริโภคของชาวจีนอยู่ที่ 20,000 หยวนต่อคน เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1979 ที่เขตชนบท ครอบครัวชาวนาทุก 100 ครัวเรือน มีรถยนต์ 22 คัน เครื่องโทรทัศน์สี 117 เครื่อง
เมื่อชีวิตดีขึ้น หลักประกันชีวิตก็ดีขึ้น จนถึงสิ้นปี 2018 ระบบประกันหลังเกษียณอายุของจีนครอบคลุมประชากรกว่า 900 ล้านคน ประชาชนทั่วประเทศมีประกันสังคมโดยทั่วไป
ด้านระบบสาธารณสุข จนถึงสิ้นปี 2018 ทั่วประเทศจีนมีหน่วยงานรักษาพยาบาล 997,000 แห่ง เพิ่มขึ้น 271 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1949 เจ้าหน้าที่ด้านการรักษาพยาบาลจำนวน 9.52 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17.8 เท่า
ผลสำเร็จสำคัญของจีนในช่วง 70 ปีที่ผ่านมาคือ จำนวนประชากรยากจนลดลงอย่างมาก สร้างคุณูปการต่อกระบวนการการลดความยากจนของโลกกว่า 70%
เมืองกว่างโจว
ตอนที่สถาปนาจีนใหม่ ประเทศจีนยากจนมาก ประชาชนจีนใช้ชีวิตอย่างยากจนประหยัดมาก ช่วงระหว่างปี 1950 – 1970 ชีวิตของประชาชนในเมืองดีขึ้นบ้าง แต่ปัญหาความยากจนในชนบทก็ยังคงสาหัส ตามมาตรฐานความยากจนของจีนในปี 2010 จนถึงสิ้นปี 1972 ประชากรยากจนในชนบทจีนมี 770 ล้านคน อัตราความยากจนคิดเป็น 97.5% หลังจากจีนดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและเปิดประเทศสู่ภายนอก รัฐบาลจีนได้กำหนดและใช้นโยบายปฏิรูปเกษตรกรรมและเขตชนบทอย่างต่อเนื่องและลงลึก ทำให้ลดจำนวนประชากรยากจน โดยเฉพาะหลังจากการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศจีนครั้งที่ 18 เป็นต้น พรรคฯ และรัฐบาลจีนได้ทุ่มเทกำลังแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเอาจริงเอาจัง ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ได้ลดจำนวนประชากรยากจนกว่า 82 ล้านคน จนถึงสิ้นปี 2018 ประชากรยากจนในชนบทจีนลดลงเหลือแค่ 16.6 ล้านคน เขตชนบทจีนได้เปลี่ยนสภาพความยากจนโดยทั่วไปมาเป็นขจัดความยากจนโดยรวม กลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่บรรลุเป้าหมายการลดความยากจนของสหประชาชาติ
การศึกษาภาคบังคับสูงเป็น 94.2%
การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนก็นำผลประโยชน์มาให้กับประชาชน ตอนที่สถาปนาจีนใหม่ อัตราเด็กเข้าเรียนมีประมาณ 20% ประชากรกว่า 80% ทั่วประเทศเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ จนถึงปี 2018 อัตราการเข้ารับการศึกษาของจีนสูงถึง 94.2% อัตราผู้เข้ารับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเกือบเป็น 48% ซึ่งพอๆ กับระดับของประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง และระดับสูง
ปัจจุบัน ชาวจีนนิยมอ่านหนังสือและออกกำลังกายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสิ้นปี 2018 ทั่วประเทศ มีห้องสมุดสาธารณะ 3,173 แห่ง จำหน่ายหนังสือชนิดต่างๆ กว่า 9,500 ล้านเล่ม เพิ่มขึ้น 34 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1950 จิตสำนึกด้านการออกกำลังกายก็เพิ่มขึ้นในหมู่ชาวจีนทั่วไป ปีหลังๆ นี้ จีนมีผู้ออกกำลังกายเป็นประจำจำนวนกว่า 400 ล้านคน สนามกีฬาเฉลี่ยต่อคนมีกว่า 1.6 ตารางเมตร
ตัวเลขสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ยอดการค้าระหว่างประเทศของจีนจัดอยู่อันดับ 1 ของโลก เงินทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดจีนเป็นจำนวนมาก
ตอนที่สถาปนาจีนใหม่ ประเทศตะวันตกเป็นผู้นำปิดล้อมจีน ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทำให้ผู้นำจีนในเวลานั้นต้องสร้างกำแพงต่อต้าน ตอนนั้น ปริมาณการนำเข้าส่งออกน้อยมาก ปี 1950 ยอดการนำเข้าส่งออกมีเพียง 1,130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น จนถึงทศวรรษปี 1970 ยอดนำเข้าส่งออกของจีนยังต่ำมาก
ตั้งแต่ปี 1978 สถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้นำจีนตัดสินใจเปิดประเทศอย่ารอบด้าน โดยเฉพาะปี 2001 จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ตั้งแต่นั้นมา การค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนถึงปี 2018 ยอดการนำเข้าส่งออกสูงถึง 4.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 223 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1978 จัดอยู่อันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 2 ปี ยอดการนำเข้าส่งออกด้านธุรกิจบริการคิดเป็น 791,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 168 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1982 จัดอยู่อันดับ 2 ของโลก
ปี 2018 จีนรับการลงทุน (ที่มิใช่ทางการเงิน)โดยตรงจากนักธุรกิจต่างชาติ 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 146 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1983 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีคิดเป็น 15.3% กลายเป็นประเทศที่รับการลงทุนต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลกติดต่อกัน 2 ปี ระหว่างปี 1979 – 2018 ได้รับการลงทุน (ที่มิใช่ทางการเงิน)โดยตรงจากนักธุรกิจต่างประเทศรวมกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
หลังจากการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศจีนครั้งที่ 18 (ปี 2012) เป็นต้นมา จีนได้เร่งขยายขอบเขตการรับการลงทุนโดยตรงจากนักธุรกิจต่างชาติอย่างไม่ขาดสาย ธุรกิจด้านการบริการกลายเป็นประเด็นร้อนของการลงทุนจากนักธุรกิจต่างชาติ ปี 2018 ธุรกิจด้านการบริการรับเงินทุนต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนกว่า 68%
การประชุมจี 20 ที่สิ้นสุดลงที่เมืองโอซากาของญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ นายสี จิ้นผิง ผู้นำจีนประกาศว่าจะเปิดตลาดจีนให้กว้างขึ้น จัดตั้งเขตทดลองการค้าเสรีใหม่อีก 6 แห่ง ลดระดับภาษีศุลกากรให้ต่ำลงอีกขั้น ปรับปรุงบรรยากาศการประกอบธุรกิจ ยกเลิกข้อกำหนดทั้งหมดที่อยู่นอกบัญชีดำเกี่ยวกับการอนุมัติการเข้าตลาดจีนของทุนต่างชาติ และปีหน้าจะบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการลงทุนของพ่อค้าต่างชาติฉบับใหม่ และยกระดับการคุ้มครองสิทธิทรัพยสินทางปัญญาให้สูงขึ้น เป็นต้น
วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา จีนได้ประกาศบัญชีดำฉบับใหม่เกี่ยวกับการอนุมัติการเข้าตลาดจีนของทุนต่างชาติ โดยลดข้อห้ามจาก 48 ข้อมาเป็น 40 ข้อ เปิดกว้างตลาดการลงทุนด้านเกษตรกรรม เหมืองแร่ อุตสาหกรรมการผลิตและการบริการต่อนักธุรกิจต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ แสดงให้เห็นท่าทีของจีนว่า จีนจะเร่งการปฏิรูปและเปิดประเทศอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
(Bo/Lin)