3.จีนมีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ แต่ท้ายที่สุดเราก็จะร่วมมือกันสร้างคุณูปการเพื่อการพัฒนาของมนุษยชาติ
เผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากสหรัฐฯ เริ่น เจิ้งเฟยมีความเห็นที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของตนว่า ท้ายที่สุด เราก็จะกอดกันบนยอดเขา ร่วมมือกันสร้างคุณูปการแก่สังคมมนุษย์
(เริ่นเจิ้งเฟยเข้าใจแนวโน้มใหญ่ในอนาคต และก็เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในระดับที่สูงกว่าด้วย)
4.ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีปัญหาพื้นฐานคือระดับการศึกษา
เริ่นเจิ้งเฟยเน้นว่า การแก้ปัญหาชิปนั้น จะใช้วิธีทุ่มเทเงินทุนอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องทุ่มเทนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และการเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันนั้น จะใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยบุคลากร แล้วบุคลากรจะมาจากไหน ก็ต้องอาศัยการศึกษา ฉะนั้น ปัญหาพื้นฐานของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ คือ ระดับการศึกษา
5.การเตรียมตัวแข่งขันกับสหรัฐฯ มีช่องทางเดียวคือ ยกระดับการศึกษา
เริ่นเจิ้งเฟยกล่าวว่า การที่หัวเหวยสามารถประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ได้ เพราะว่าหัวเหวยได้ดึงดูดนักคณิตศาสตร์กว่า 700 คน นักฟิสิกส์กว่า 800 คน นักเคมีศาสตร์กว่า 120 คน ผู้เชี่ยวชาญความรู้เฉพาะด้าน 6,000-7,000 คน วิศวกรจากวงการต่างๆ กว่า 60,000 คน ฉะนั้น การเตรียมตัวแข่งขันกับประเทศตะวันตกนั้น มีช่องทางเดียวคือ ฟื้นฟูพัฒนาและยกระดับการศึกษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีทางลัดใดๆ
6.ความรุ่งเรืองของประเทศ เริ่มต้นจากเวทีครูประถม
คำพูดของเริ่นเจิ้งเฟยดังกล่าวมีความหมาย 2 นัย คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาบุคคล และบุคคลเชิงสร้างสรรค์มาจากการศึกษาขั้นพื้นฐานเชิงสร้างสรรค์
7.การศึกษาคือวิธีป้องกันประเทศที่ใช้ทุนน้อยที่สุด
นักปรัชญาฝรั่งเคยกล่าวว่า แนวป้องกันทางความคิดเป็นการป้องกันประเทศที่ใช้ทุนน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งเริ่นเจิ้งเฟยก็เห็นด้วย และเห็นว่าความแข็งแกร่งของประเทศอยู่ที่ระดับการศึกษาของประชาชน
8.การพัฒนาการศึกษา สิ่งสำคัญอยู่ที่การพัฒนาครูอาจารย์
การพัฒนาการศึกษา ต้องอาศัยครู ต้องยกระดับฐานะและสวัสดิการของครู จึงจะสามารถดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถเข้าร่วมวงการการศึกษา เราต้องใช้บุคคลดีเด่นอบรมพัฒนาให้ได้บุคคลที่ดีเด่นกว่า
9. ลดการเน้น “ดอกผลจากประชากร”
เริ่น เจิ้งเฟยยกตัวอย่างว่า ขั้นตอนการผลิตของหัวเหวย เกือบจะไม่ต้องใช้คน เราสามารถผลิตมือถือ 1 เครื่องภายใน 20 วินาที โดยไม่ต้องอาศัยแรงคนอะไร ในอนาคต ขั้นตอนการผลิตจะเป็นระบบอัตโนมัติโดยสิ้นเชิง เริ่น เจิ้งเฟยเห็นว่า สังคมโลกต้องพัฒนาสู่ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากวันนี้เรายังเน้นการได้ดอกผลจากประชากร ก็จะเป็นการเดินผิดทาง
10.ประเทศไหนที่มีกลยุทธ์ดีกว่า มีนโยบายที่เปิดกว้างกว่า ประเทศนั้นก็จะพัฒนาเป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุด
ในการให้สัมภาษณ์หลายครั้งเมื่อเร็วๆนี้ เริ่น เจิ้งเฟยได้อธิบายถึงกระแสการอพยพของบุคลากรโลก 2 ครั้ง เหตุใดเริ่น เจิ้งเฟยจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ที่แท้คือเน้นว่า ประเทศไหนที่มีกลยุทธ์ดีกว่า มีนโยบายที่เปิดกว้างกว่า ประเทศนั้นก็จะพัฒนาเป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุด เขาเรียกร้องให้จีนกำหนดนโยบายสนับสนุนบุคลากรโลกสร้างธุรกิจกันที่จีน
11.เจตนารมณ์ “เหลยเฟิง” เป็นเจตนารมณ์ไม่อาจยืนยาวได้
“เหลย เฟิง” เป็นแบบฉบับการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมของจีน แต่เริ่น เจิ้งเฟยเห็นว่า เจตนารมณ์เหลยเฟิงนั้น เป็นเจตนารมณ์ที่ไม่อาจจะยืนยาวได้ เขาระบุว่า ไม่ได้หมายความว่าเจตนารมณ์เหลยเฟิงล้าสมัยไปแล้ว แต่เป็นการเตือนว่า หากเราเน้นแต่ความรักชาติ และอุทิศตน จะไม่ได้ผลที่คาดหวัง จีนต้องกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์ต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อปูทางให้นักวิทยาศาสตร์จีนในต่างประเทศกลับมาทำงานที่จีน
(Yim/Cici)