ฮ่องกงกลับคืนสู่มาตุภูมนั้นเป็นส่วนหนึ่งสำคัญของการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น ชาวจีนได้พยายามในเรื่องนี้มาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อเรื่องฮ่องกงกลับคืนสู่จีนได้ปรากฏเป็นจริงขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1997 ชาวจีนทั่วประเทศจึงรู้สึกปลื้มปิติและภาคภูมิใจยิ่ง
ปัญหาการกลับคืนสู่มาตุภูมิของฮ่องกงนั้น ประการแรกถือว่าเป็นปัญหาเชิงการทูต เนื่องจากการเรียกเอาดินแดนที่เป็นของจีนแต่ดั้งเดิมคืนจากประเทศที่ยึดครองนั้น จะต้องผ่านการเจรจาทางการทูต
นับแต่มีการบรรลุข้อตกลงระหว่างจีน-อังกฤษจนถึงวันที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีนอย่างเป็นทางการนั้น มีช่วงเปลี่ยนผ่านอันยาวนาน โดยในระหว่างนั้น ฝ่ายอังกฤษต้องรับประกันว่า จะบริหารฮ่องกงให้ดี และต้องรักษาเสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรืองของฮ่องกงเอาไว้ ขณะที่จีนต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในการจัดทำนโยบายที่เป็นรูปธรรม ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงหลังฮ่องกงกลับคืนสู่จีน โดยใช้นโยบาย “หนึ่งประเทศสองระบบ” เพื่อให้สามารถรักษาเสถียรภาพ และความเจริญของฮ่องกงไว้ได้
ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยาวนานนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีการประชุมหารือกันในด้านต่างๆ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามข้อตกลงและคำมั่นสัญญา ช่วงเวลานั้น จีนได้ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อตกลงกับอังกฤษ โดยจะให้ความร่วมมือแต่ไม่แทรกแซงงานบริหารประจำวันของอังกฤษในฮ่องกงในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่จีนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งการมีส่วนร่วมในเรื่องใดก็ตามที่ส่งผลต่อการบริหารเขตฮ่องกงหลังฮ่องกงกลับคืนสู่จีนแล้ว
ตอนเติ้ง เสี่ยวผิง วางแผนใช้นโยบาย “หนึ่งประเทศสองระบบ”ในการแก้ไขปัญหาฮ่องกงนั้น ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ชัดเจนว่า หัวใจในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ก็คือ จะสามารถรักษาเสถียรภาพของฮ่องกงในช่วงเปลี่ยนผ่านไว้ได้หรือไม่
ตอนนั้นจีนมีความมั่นใจอย่างมากกับอนาคตของฮ่องกงว่า ดินแดนของฮ่องกงจะกลับคืนสู่จีนในที่สุด แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า จะสามารถคงเสถียรภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ค่อนข้างนานนี้ได้หรือไม่ จีนจึงหวังว่า จะไม่เกิดความวุ่นวายที่จะกระทบต่อเสถียรภาพและความเจริญของฮ่องกง
เมื่อปลายปี ค.ศ.1984 จีนและอังกฤษได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยปัญหาฮ่องกง หลังจากนั้น ฮ่องกงได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ในช่วงหลายปีแรก ทั้งสองฝ่ายมีการร่วมมือกันด้วยดี การปรึกษาหารือและการเจรจาเกี่ยวกับกิจการสำคัญที่เป็นรูปธรรมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความคืบหน้าท่ามกลางบรรยากาศที่ดี ช่วงเวลานั้น ทั้งสองฝ่ายหากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็จะคำนึงถึงจุดยืนของอีกฝ่ายหนึ่ง มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพื่อให้สามารถบรรลุความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ได้
ในช่วงต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ค.ศ.1989 ได้เกิดเหตุการณ์เทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง เป็นผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอังกฤษเปลี่ยนแปลงไป
ในขณะเดียวกัน อังกฤษก็ไปร่วมมือกับประเทศตะวันตกทำการคว่ำบาตรจีน เป็นผลให้การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอังกฤษต้องประสบอุปสรรคมาก อังกฤษคล้ายจะเสียใจในภายหลังที่ได้ลงนามกับจีนอย่างเป็นทางการในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยปัญหาฮ่องกงในเดือนธันวาคมปี 1984
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนของปีเดียวกัน อังกฤษขอเลื่อนการประชุมครั้งที่ 13 ของคณะทำงานประสานงานจีน-อังกฤษที่กำหนดจะประชุมในเดือนกรกฎาคมออกไป ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดปกติ เพราะหลังจากมีการตั้งคณะทำงานประสานงานฯในปี 1985 เป็นต้นมา ก็ยังไม่เคยมีการขอเลื่อนการประชุมออกไปโดยลำพังฝ่ายเดียวจากฝ่ายไหนมาก่อนเลย
ต่อมาไม่นาน อังกฤษได้วิจารณ์สถานการณ์ภายในประเทศจีน แล้วโยงเข้ากับปัญหาฮ่องกงว่า สถานการณ์ในจีนได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของชาวฮ่องกงอย่างมาก นอกจากนี้แล้ว อังกฤษยังกล่าวว่า มีความจำเป็นที่จะให้มีทหารจีนเข้าไปประจำการในฮ่องกงหลังฮ่องกงกลับคืนสู่จีนหรือไม่อย่างไร และแจ้งว่า อังกฤษเตรียมทบทวนเรื่องการเลือกตั้งโดยตรงในฮ่องกงในปี 1991 และขอให้จีนเลื่อนการประกาศกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงออกไปก่อน
สำหรับเรื่องที่จีนจะส่งกองทหารเข้าประจำการในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงนั้น ได้มีการเขียนไว้ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างจีน-อังกฤษว่าด้วยปัญหาฮ่องกง ส่วนเรื่องการเลือกตั้งในฮ่องกงในปี 1991 ทั้งสองฝ่ายก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์จากการปรึกษาหารือแล้ว แต่ตอนนี้อังกฤษกลับหยิบยกปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน แสดงว่า อังกฤษต้องการจะพลิกเรื่อง จีนจึงปฏิเสธคำกล่าวอ้างเรื่องสถานการณ์ในจีนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของชาวฮ่องกง และกล่าวว่า เป็นเพราะการกระทำที่ไม่เป็นมิตรของอังกฤษต่างหากที่ทำให้ชาวฮ่องกงสูญเสียความเชื่อมั่น ส่วนเรื่องเกี่ยวกับระบบการปกครองของฮ่องกงนั้น จีนไม่เห็นด้วยการเปลี่ยนแปลงโดยลำพังฝ่ายเดียวของอังกฤษ จากนั้น ความขัดแย้งเชิงการทูตระหว่างจีน-อังกฤษที่กินเวลาอันยาวนานเกี่ยวกับการปฏิรูประบบการปกครองในฮ่องกงก็ได้เปิดฉากขึ้น
ปลายปี 1989 ในขณะที่สถานการณ์ในจีนดีขึ้นอีกครั้ง เศรษฐกิจก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประเทศตะวันตกจึงได้ผ่อนปรนการคว่ำบาตรจีนลง โดยสหรัฐฯเป็นประเทศแรกที่ส่งทูตพิเศษมาเยือนจีนอย่างลับๆ เพื่อหาทางปรับความสัมพันธ์กับจีนให้ดีขึ้น ทางอังกฤษก็ไม่ยอมล้าหลังใคร จึงได้ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน โดยนายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์ได้ส่งทูตพิเศษมาเยือนจีนอย่างลับๆ เพื่อหาทางปรับความสัมพันธ์กับจีนให้ดีขึ้นเช่นกัน
นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์แจ้งจีนผ่านทูตพิเศษอังกฤษว่า หวังจะให้ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดยั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเลวร้ายลงไปอีก และต้องรื้อฟื้นการแลกเปลี่ยนที่ดีเช่นเมื่อก่อน
นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวย้ำถึงจุดยืนของอังกฤษว่า จะเคารพและปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างสองประเทศ และรับปากเป็นพิเศษว่า ไม่มีเจตนาที่จะให้ฮ่องกงเป็นฐานในการบ่อนทำลายประเทศจีน และจะไม่ทำให้ปัญหาฮ่องกงเป็นปัญหาระหว่างประเทศ
แต่แล้ว นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์ก็เปลี่ยนประเด็นว่า อังกฤษกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักที่จะให้เพิ่มจำนวนสมาชิกนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงในปี 1991 ให้มากๆ ดังนั้น ตอนที่จีนร่างกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ขอจีนร่างให้สอดคล้องกับการดำเนินการของอังกฤษด้วย ทั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อังกฤษจะให้ปัญหาการเลือกตั้งในฮ่องกงเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อังกฤษ การใช้วิธีการกดดันของอังกฤษถูกจีนโต้กลับทันที
อย่างได้ก็ตาม จีนได้ชื่นชมอังกฤษที่ได้แสดงความปรารถนาจะปรับความสัมพันธ์กับจีนให้ดีขึ้น สำหรับปัญหาอัตราส่วนสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงที่ได้จากการเลือกตั้งโดยตรง จีนบอกอังกฤษว่า จำนวนสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงที่ได้จากการเลือกตั้งโดยตรงที่ระบุไว้ในกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฉบับร่างตอนนี้ไม่ควรแตกต่างกันมากกับที่ระบุไว้ในกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฉบับสมบูรณ์ เนื่องจากหากสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงที่ได้จากการเลือกตั้งโดยตรงในปี 1991 เกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฉบับร่างตอนนี้มากเกินไป ก็เกรงว่า จะไม่สอดรับกับกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงที่จะประกาศใช้ในอนาคต ความหมายข้างต้นก็คือ จีนจะไม่รับข้อเสนอของฝ่ายอังกฤษ แต่ก็แจ้งว่า ร่างกฎหมายพื้นฐานเขตบริหารพิเศษฮ่องกงยังแก้ไขได้ โดยทั้งสองฝ่ายสามารถหารือกันได้อีก บานประตูสู่การเจรจาของจีนยังเปิดกว้างอยู่