ผลสำรวจการไปศึกษาต่อต่างประเทศของชาวจีน

2020-01-06 10:28:11 | CRI
Share with:

图片默认标题_fororder_20200106中国留学1

จีนเป็นประเทศที่มีประชากรเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศจำนวนมากที่สุดในโลก หลายปีมานี้ นักเรียนนักศึกษาจีนในต่างประเทศมีอิทธิพลสูงต่อตลาดการศึกษานอกประเทศทั่วโลก สถิติจากกระทรวงศึกษาธิการจีนแสดงว่า ตั้งแต่ปี 2016 ถึงปี 2018 ชาวจีนผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศและกลับสู่มาตุภูมิเพิ่มจาก 432,500 คนขึ้นเป็น 519,400 คน

สถิติยังแสดงว่า ปี 2018 ในจำนวนชาวจีนที่จบการศึกษาจากเมืองนอก มีกว่า 80% ตัดสินใจกลับมาจีนเพื่อหาโอกาสการพัฒนาต่อ ซึ่งแสดงว่า ขณะที่เศรษฐกิจพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จีนนับวันมีแรงดึงดูดผู้ที่มีการศึกษาสูงมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ชาวจีนที่จบการศึกษาต่างประเทศก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านการหางานทำในจีนที่หนักขึ้นด้วย

ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา พร้อมๆกับการพัฒนาของกระแสโลกาภิวัตน์ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในระดับหนึ่ง สถานการณ์การไปศึกษานอกประเทศทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ผลการสำรวจสถานการณ์การไปศึกษานอกประเทศของชาวจีนโดยมหาวิทยาลัยการคลังและเศรษฐกิจซีหนานของจีนระบุว่า การพัฒนาของตลาดนักศึกษาต่างประเทศของอังกฤษและสหรัฐฯชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด และคนในประเทศกำลังพัฒนาที่จบการศึกษาต่างประเทศนับวันยินยอมกลับไปหางานทำในมาตุภูมิมากยิ่งขึ้น

ปีหลังๆนี้ ประเทศพัฒนาต่างๆปรากฏรูปการณ์ที่ขัดแย้งกับกระแสโลกาภิวัตน์ ประเทศจำนวนหนึ่งอย่างสหรัฐฯและอังกฤษ เป็นต้น เกิดแนวคิดเอกภาคีนิยม โดยประกาศใช้นโยบายวีซ่าและนโยบายผู้อพยพที่มีการจำกัดและเข้มงวดยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้จำนวนนักเรียนนักศึกษาต่างชาติในประเทศเหล่านี้ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอังกฤษประกาศถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป จำนวนชาวต่างชาติที่ขอไปศึกษาในสหรัฐฯและอังกฤษลดลงอย่างมาก อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากปัญหาผู้ลี้ภัยในยุโรปตึงเครียดยิ่งขึ้น การหลั่งไหลของบุคลากรระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ผู้คนประเทศกำลังพัฒนาที่ไปศึกษานอกประเทศ จึงตัดสินใจเลือกเดินทางกลับมาหางานทำที่มาตุภูมิจำนวนมากยิ่งขึ้น

图片默认标题_fororder_20200106中国留学2

สถิติจากสมาคมการศึกษาระหว่างประเทศสหรัฐฯแสดงว่า ปี 2017 นักศึกษาต่างชาติที่สอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆของสหรัฐฯ ลดลง 3.3%  เมื่อเทียบกับปี 2016 นับเป็นการลดต่ำลงครั้งแรกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ส่วนนักศึกษาจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯลดลงตั้งแต่ปี 2016 โดยเฉพาะหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สถิติระบุว่า ปี 2016 นักศึกษาจีนที่ได้รับวีซ่า F-1 ของสหรัฐฯ มี 148,000 คน ลดลง 46% เมื่อเทียบกับปี 2015  นอกจากนี้ จำนวนนักศึกษาชาวอินเดียและเกาหลีใต้ที่ไปศึกษาในสหรัฐฯ ก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับนโยบายวีซ่าและนโยบายผู้อพยพของสหรัฐฯ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ในทางตรงกันข้าม ปีหลังๆนี้ จีนรองรับนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถิติระบุว่า ปี2017 จีนมีนักศึกษาต่างชาติกว่า 442,000 คน เพิ่มขึ้น11.4% เมื่อเทียบกับปี 2016

สำหรับจำนวนผู้ที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ จีนก็ยังเป็นประเทศที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก สถิติจากกระทรวงศึกษาธิการจีนปี 2018 แสดงว่า จีนมีผู้ไปศึกษาต่อต่างประเทศจำนวน 662,100 คน เพิ่มขึ้น 8.83% เมื่อเทียบกับปี 2017

สถิติยังระบุว่า จนถึงปี 2016 จีนยังเป็นแหล่งที่มานักศึกษาที่สำคัญที่สุดสำหรับสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอังกฤษ ซึ่งในจำนวนประเทศต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น นักศึกษาจากจีนคิดเป็นกว่า 30% ของจำนวนนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด ส่วนจำนวนนักศึกษาต่างชาติของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น นักศึกษาจีนต่างมีสัดส่วนเป็น 57.3% และ49.3%

ด้านการเลือกวิชาเอกสำหรับนักศึกษาจีนที่เรียนต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา สัดส่วนคนที่เลือกวิชาทางวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร คณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ต่างลดน้อยลง ส่วนคนที่เลือกเรียนการบริหารธุรกิจ ภาษาต่างประเทศ และครุศาสตร์ยังเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะวิชาการบริหารธุรกิจได้รับความนิยมมากขึ้นนั้น คงเป็นผลจากอุปสงค์การพัฒนาในแวดวงที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงด้านการเงินและการพาณิชย์ เป็นต้น ต่างเกิดการเติบโตอีกรอบหนึ่งภายใต้การกระตุ้นจากกระแส “อินเตอร์เน็ต +”

图片默认标题_fororder_20200106中国留学3

ผลสำรวจยังปรากฏว่า คนที่หวังไปศึกษาต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อต่างประเทศแต่อย่างใด สิ่งที่นักศึกษาจีนให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ส่วนนักศึกษาอินเดียสนใจอัตราความสำเร็จในการสมัครสอบเข้ามากกว่า

ขณะที่ชาวจีนที่ไปศึกษาต่างประเทศมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศนับวันยอมกลับมาหางานทำที่เมืองจีนมากยิ่งขึ้น ตลาดหางานในจีนจึงมีการแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น ในจำนวนผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ แม้มีประมาณครึ่งหนึ่งเห็นว่า ตัวเองมีกำลังแข่งขันสูงกว่านักศึกษาภายในประเทศ แต่ผู้คนกลุ่มนี้ก็รู้สึกว่าตนมีความเสียเปรียบในระดับหนึ่ง เช่น 65.9% ของผู้จบการศึกษาจากนอกประเทศเห็นว่า ปัญหาหลักสำหรับพวกเขาคือ ไม่ทราบถึงแนวโน้มการพัฒนาของแวดวงต่างๆและความต้องการของวิสาหกิจภายในประเทศอย่างชัดเจน มี 45.3% เห็นว่า ตนเองไม่ชินกับบรรยากาศการทำงานภายในประเทศ จึงยากที่จะได้รับโอกาสการพัฒนาที่ดี และยังมี 41% เห็นว่า ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของตลาดภายในประเทศ ทั้งนี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการหางานสำหรับผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศเหล่านี้

ผลสำรวจยังระบุว่า ปัจจุบัน กลุ่มผู้ไปศึกษาต่างประเทศส่วนใหญ่มีอายุ 20-40 ปี ในจำนวนนี้ คนในวัย 30-40 ปี ส่วนใหญ่เป็นลูกคนเดียวเนื่องจากเกิดในช่วงที่จีนดำเนินนโยบาย “วางแผนครอบครัว” ผู้คนเหล่านี้เลือกที่จะกลับมาตุภูมิเพื่อแสวงหาโอกาสการพัฒนาต่อ และอีกเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคงอยู่ที่ครอบครัวด้วย เพราะต้องทำงานไป ดูแลพ่อแม่หรือลูกไป

อนึ่ง ปีหลังๆ นี้ นักเรียนจีนในวัยต่ำกว่า 18 ปีที่มีความประสงค์จะไปเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยในต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่อง สถิติจากกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า สถานทูตและสถานกงสุลจีนประจำต่างประเทศได้รับการแจ้งขอความช่วยเหลือจากชาวจีนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มจาก 36,800 คดีเมื่อปี 2012 เพิ่มเป็นกว่า 1 แสนคดีในปี 2016 จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอีกเรื่องสำหรับครอบครัวที่จะส่งลูกไปศึกษานอกประเทศ

Yim/Sun

  • เสียงข่าวประจำวัน (18-04-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (18-04-2567)

  • เสียงคุยกันวันละประเด็น (18-04-2567)

  • เสียงข่าวประจำวัน (17-04-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (17-04-2567)

何喜玲