ช่วงนี้ เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ระบาดในประเทศจีน และเป็นเหตุการณ์ที่จับตามองทั่วโลก สุขภาพอนามัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนจีน เมื่อมีอาการไม่สบาย ก็สงสัยทันทีว่า ติดเชื้อไวรัสหรือเปล่า
ความแตกต่างระหว่างการเป็นหวัดธรรมดากับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโรคปอดอักเสบไวรัสอู่ฮั่น จุดที่น่าสนใจที่สุดมีสองประการ คือ การ“หายใจลำบาก” กับ “วันที่ 7”
- ลักษณะที่เด่นที่สุด คือ การหายใจลำบาก
สำหรับคนทั่วไป อาการหายใจเร็ว หายใจหอบ และหายใจลำบากจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษโดยไข้หวัดใหญ่กับโรคปอดอักเสบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในช่วงแรกผู้ป่วยมีอาการคล้ายกันเช่น ไอ เจ็บคอและจาม ดังนั้น จึงแยกยากว่าเป็นหวัดธรรมดาหรือเป็นโรคปอดอักเสบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้กระทั่งมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย แต่จุดสังเกตุก็คือผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่วนใหญ่มีอาการหายใจลำบาก และหายใจเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าพบว่าตนเองเป็นไข้หวัดแล้วมีอาการหายใจลำบาก หายใจเร็ว ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และเฝ้าติดตามอาการ
- วันที่ 7 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสและอาการจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน คณะกรรมการสาธารณสุขและอนามัยแห่งชาติจีนประกาศ “แผนการวินิจฉัยและรักษาโรคปอดอักเสบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ฉบับล่าสุดระบุว่า ตามผลการสำรวจโรคติดต่อในปัจจุบัน ระยะฟักตัวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยปกติเป็น 3-7 วัน อาการหนักส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังติดเชื้อแล้วหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้น ถ้าเคยหากเดินทางไปมณฑลหูเป่ย หรือติดต่อกับคนที่มาจากเขตระบาดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แม้จะไม่มีอาการ ก็แนะนำว่าให้เฝ้าระวังอยู่ในเคหะสถานสักระยะหนึ่ง ปัจจุบัน รัฐบาลเสนอให้อยู่ที่บ้านสองสัปดาห์ เพื่อรับรองว่าไม่ได้ติดเชื้อ ส่วนวันที่ 7 เป็นวันที่สำคัญ
- ถ้ามีอาการไข้ขึ้นและหายใจลำบาก ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
อาการไข้ เป็นอาการที่พบบ่อย สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรง ถ้าเป็นไข้ถึง 38℃ จะต้อง ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าหากมีไข้แล้ว และมีอาการร่วม ก็ควรจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่แนะนำให้รักษาเองที่บ้าน ซึ่งอาการร่วมดังกล่าวได้แก่
- หายใจลำบาก หายใจเร็ว หายใจหอบ และเจ็บหน้าอก
- เคยสัมผัสหรือติดต่อกับผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
- เป็นผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังด้านหัวใจ สมอง ตับและไต เช่น ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
- ถ้าเพียงแค่อุณหภูมิร่างกายเพิ่งสูงถึงหรือสูงกว่า 37℃ นิดหน่อย ยังไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคำว่าเป็นไข้ หมายถึงอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37℃ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเวลาและสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามแต่อยู่ในระหว่าง 1℃ ถ้าหากอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.3℃ นิดหน่อย แต่ไม่มีอาการ สามารถอยู่ที่บ้าน พักผ่อนและติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หากอุณหภูมิกลับสู่ปกติ และอาการอื่นๆ ทุเลาลง แสดงว่าร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่หากมีโรคเรื้อรัง เช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและโรคหลอดลมอุดตันเรื้อรัง (COPD) แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ ถ้าไม่มีโรคเรื้อรัง ก็เสนอให้ผ่อนคลาย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ถ้าไม่ได้ผลค่อยไปโรงพยาบาล
สำหรับสตรีมีครรภ์ เด็กและผู้สูงอายุ หากเกิดอาการแบบนี้ต้องไปโรงพยาบาล
1.หากสตรีมีครรภ์ ถ้ามีอาการหายใจลำบาก และมีไข้ขึ้น ต้องไปโรงพยาบาลไหม?
- ถ้าเคยสัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือเคยไปเขตระบาดภายใน 14 วัน วัดอุณหภูมิใต้ลิ้นสูงกว่า 37.3℃ มีอาการไอ อ่อนเพลีย จะต้องไปโรงพยาบาล
- หากเคยสัมผัสกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไปเขตระบาด อุณหภูมิร่ายกายเป็นปกติ แต่มีอาการหายใจเร็ว เจ็บหน้าอกหรือผลการตรวจวัดออกซิเจนในเลือดจากผิวหนังลดลง จะต้องไปโรงพยาบาล
- แม้ไม่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไปเขตระบาด แต่ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38℃ ก็ต้องไปโรงพยาบาล
2. หากเด็กเป็นไข้ ไอ จะต้องไปหาหมอไหม?
หากเด็กไม่มีอาการงอแง แนะนำให้สังเกตอาการที่บ้านก่อน กินยาบรรเทาอาการ หากเด็กมีไข้ ถ้าเป็นทารกที่ยังไม่ถึงสามเดือนให้พาไปโรงพยาบาล ถ้าอายุมากกว่าสามเดือน สามารถลองกินยาลดไข้ก่อน แต่ถ้าเกิดอาการเช่น
- หายใจเร็ว หายใจหอบและหายใจลำบาก
- หน้า และริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีเขียว
- ร้องไห้ ไม่นอน ไม่สามารถรับประทานได้ และมีปฏิกิริยาตอบสนองช้า
- ปัสสาวะน้อยลง
แสดงว่า เด็กอาการหนักต้องไปโรงพยาบาล
3. สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการไข้หวัด เนื่องจากภูมิต้านทานน้อย และหากมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ถ้ามีอาการไข้สูงและหายใจลำบาก ต้องไปพบแพทย์เช่นกัน