ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศทวีความรุนแรง จนมีหลายสิบประเทศต้องประกาศเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ประชาคมโลกต้องการความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเร่งด่วน แต่นักการเมืองสหรัฐฯที่เห็นแก่ตัวบางส่วนกลับออกมาทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและควบคุมการระบาด
โดยซีบีเอส ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Peter Navarro ที่ปรึกษาการค้าทำเนียบขาวกำลังผลักดันให้ผู้นำสหรัฐฯออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้ย้ายห่วงโซ่อุปทานด้านอุตสาหกรรมการแพทย์จากต่างประเทศกลับมายังสหรัฐฯ เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า นาย Peter Navarro ไม่มีความรู้เศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และมีเจตนาที่ประสงค์ร้ายด้านมนุษยธรรม
การก่อตัวขึ้นของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน เพราะวิสาหกิจต้องเปรียบเทียบ ทรัพยากรของประเทศต่างๆ แล้วเลือกใช้ทรัพยากรของประเทศที่ดีกว่าและถูกกว่า ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์การตลาด
การใช้คำสั่งบริหารบังคับให้ย้ายห่วงโซ่อุปทานอุตสหกรรมการแพทย์จากต่างประเทศกลับไปยังประเทศตนนั้น ย่อมทำให้วิสาหกิจต้องสูญเสียประสิทธิภาพในการผลิต และผลประโยชน์
เมื่อเร็วๆนี้ นิวยอร์คไทมส์ ยังได้รายงานอีกข่าวหนึ่งเกี่ยวกับสหรัฐฯว่า รัฐบาลสหรัฐฯยินดีที่จะเสนอวงเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่บริษัทเยอรมันแห่งหนึ่งที่กำลังทำการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เพื่อให้สิทธิในการเข้าถึงวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นของสหรัฐเพียงประเทศเดียว ซึ่งนี่เป็นความต้องการของผู้นำสหรัฐฯ ข่าวดังกล่าวได้การยืนยันจากนายฮอร์สต ซีโฮเฟอร์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของเยอรมัน สื่อเยอรมันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่า แผนการของสหรัฐฯทำให้ชาวโลกได้เห็นหน้าตาที่อัปลักษณ์ของนักการเมืองสหรัฐฯ บางคนอย่างชัดเจน
โชคดีที่โลกนี้ยังมีประเทศที่มีความรับผิดชอบ ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มี.ค. จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศสมัยวิสามัญเพื่อหารือในการป้องกันและควบคุมโควิด-19 นี่เป็นอีกหนึ่งความพยายามของประชาคมโลก ที่สามัคคีในการรับมือกับความท้าทายที่หนักหน่วง เพื่อผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากในขณะนี้
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สหรัฐฯจะเคารพกฎแห่งธรรมชาติ และมีคุณธรรม มิฉะนั้น คำว่า “ให้สหรัฐฯยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” จะไม่สามารถกลายเป็นจริงได้
(bo/cai)