เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศงดจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกองค์การอนามัยโลก ท่ามกลางวิกฤตสาธารณสุขที่รุนแรงในทั่วโลก การกระทำดังกล่าวเป็นภัยต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในการต้านโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาที่สุดและกลุ่มคนด้อยโอกาส จึงถูกประชาคมโลกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ขณะนี้ สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง หลังทางการสหรัฐฯ ใช้นโยบายที่ไม่ถูกต้องครั้งแล้วครั้งเล่า ประเทศส่วนใหญ่มองว่า การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจตัดเงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลกนั้น มีเป้าหมายที่จะเบนความสนใจต่อประเด็นร้อนในประเทศ และโยนความผิดแก่ผู้อื่น แม้ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวหาองค์การอนามัยโลกด้วยข้ออ้างต่าง ๆ ระหว่างการแถลงข่าว แต่สิ่งที่สหรัฐฯ นำมากล่าวอ้างนั้น กลับไม่มีมูลและเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
ก่อนอื่น สหรัฐฯ กล่าวหาองค์การอนามัยโลกว่า ไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ควรทำ และปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัส แต่คำกล่าวหาของสหรัฐฯ ดังกล่าวเป็นการกลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว หากทบทวนสิ่งที่องค์การอนามัยโลกและสหรัฐฯ ทำ หลังเกิดการระบาดก็จะเห็นได้ชัดว่า ข้อเท็จจริงนั้นเป็นเช่นไร
วันที่ 3 มกราคม จีนเริ่มแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 แก่องค์การอนามัยโลกเป็นประจำ หลังจากนั้นสองวัน องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนทั่วโลกว่า พบโรคปอดอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุ โดยตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม เป็นต้นมา องค์การอนามัยโลกได้รายงานสถานการณ์การระบาดไปยังผู้นำด้านสาธารณสุขของทุกประเทศเป็นประจำ รวมถึงสหรัฐฯ ด้วย ผ่านการประชุมทางไกล
วันที่ 10 มกราคม องค์การอนามัยโลก ประกาศแนวทางรับมือโรคระบาดแก่ทุกประเทศ โดยให้คำแนะนำว่า ต้องใช้วิธีการอย่างไรในการตรวจคัดกรองและจัดการผู้ป่วยที่เป็นพาหะของโรค
ระหว่างวันที่ 22 - 23 มกราคม องค์การอนามัยโลกเรียกประชุมฉุกเฉิน และต่อมาประกาศในวันที่ 30 มกราคมว่า การระบาดของโรคชนิดใหม่นี้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ประชาคมโลกต้องเฝ้าติดตาม
เดือนกุมภาพันธ์ องค์การอนามัยโลกส่งคณะผู้เชี่ยวชาญที่มีชาวอเมริกันรวมอยู่ด้วยมายังจีน เพื่อศึกษาสถานการณ์การระบาดของโรค จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นได้ชัดว่า องค์การอนามัยโลกได้ปฏิบัติหน้าที่ที่พึงทำ และไม่ได้ปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังโจมตีองค์การอนามัยโลกว่า ไม่ได้ประเมินสถานการณ์การระบาดในจีนตามสภาพความเป็นจริงและเข้าข้างจีน คำกล่าวของสหรัฐฯ ดังกล่าวจึงยิ่งไร้สาระ
เดือนกุมภาพันธ์ องค์การอนามัยโลกยังได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ มายังจีน เพื่อศึกษาสถานการณ์การระบาด ตลอดช่วงเวลา 9 วัน ที่คณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจีนเดินทางสำรวจหลายพื้นที่ เช่น กรุงปักกิ่ง มณฑลกว่างตง มณฑลเสฉวน และมณฑลหูเป่ย จากนั้น ก็ได้ประกาศรายงานฉบับหนึ่ง ชื่นชมจีนที่ได้ใช้มาตรการป้องกันและควบคุมที่มีความกล้าหาญ ยืดหยุ่น และมีความพยายามมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ถือเป็นประสบการณ์ที่สำคัญสำหรับทั่วโลกในการรับมือโควิด-19 รายงานฉบับดังกล่าวเกิดจากการสำรวจพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและมีความถูกต้อง สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ของประชาคมโลก
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกล่าวหาองค์การอนามัยโลกว่า การที่องค์การอนามัยโลกตัดสินใจไม่ใช้มาตรการจำกัดการเดินทางในระยะแรกของการแพร่ระบาดนั้น เป็นการตัดสินใจที่ทำให้เกิดวิกฤต คำกล่าวหานั้นไม่มีมูลความจริงและไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน
ในฐานะองค์กรระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือมากที่สุดด้านสาธารณสุข ข้อเสนอที่เกี่ยวข้องขององค์การอนามัยโลกถือเป็นการพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์และสภาพความเป็นจริง ตลอดจนสอดคล้องกับระเบียบด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
ขณะนี้ ผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วโลกมีกว่า 2.15 ล้านคน การป้องกันและควบคุมโรคจึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน สหรัฐฯ ต้องหยุดใช้การป้องกันและควบคุมโรคเป็นประเด็นทางการเมืองทันที เพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและควบคุมโรคกลับเข้าสู่แนวทางที่ถูกต้อง มนุษย์เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน หากเราต้องการเอาชนะการระบาดของโควิด-19 ความสามัคคีและความร่วมมือคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
(tim/cai)