คำพูดของ ปธน.สหรัฐ ที่กล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ทำเนียบขาวตอนหนึ่งที่บอกว่า "วันที่ 11 มกราคม คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ... เราก็ได้พยายามพัฒนาวัคซีนแล้ว" ทำให้สื่อมวลชนทั่วโลกให้ความสนใจมาก
เพราะก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐเคยระบุว่า เขาไม่รู้ว่ามีไวรัสนี้จนกระทั่งถึงปลายเดือนมกราคม ทำให้เกิดความสับสนว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนโกหก ชาวโซเชียลต่างรุมประณามมาตรการที่ล้มเหลวของสหรัฐ ที่ดำเนินการอย่างเชื่องช้าที่กว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมก็เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
นาย Robert Redfield ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ แจ้งความคืบหน้าในสภาคองเกรสว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ได้ติดต่อกับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนในวันที่ 2 มกราคม เพื่อหารือถึงแนวทางการรับมือ เมื่อวันที่ 12 มกราคม ตามเวลากรุงปักกิ่ง จีนได้แบ่งปันข้อมูลลำดับพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ให้กับองค์การอนามัยโลกเพื่อวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการผลิตวัคซีน การวิจัยยาและการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วโลก เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของเวลา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หากที่ผู้นำสหรัฐบอกว่าการวิจัยวัคซีนเริ่มเมื่อวันที่ 11 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯได้รับข้อมูล ที่จีนแบ่งปัน คำถามคือทำไมพวกเขาปกปิดสภาพการระบาดที่แท้จริงในสหรัฐฯ และยังย้อนมาตำหนิจีนว่าปกปิดข้อมูล
วารสารทางการแพทย์ The Lancet เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง "การคืนอำนาจสู่ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐ" โดยระบุว่ารัฐบาลสหรัฐได้รวบอำนาจของศูนย์ฯ รวมทั้งการปกปิดข้อมูลเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว เบี่ยงเบนประเด็นสงสัย และใส่ร้ายป้ายสี จนเกือบจะกลายเป็น "วลีเด็ด" ของนักการเมืองสหรัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
เมื่อเผชิญกับโศกนาฏกรรมที่ชาวอเมริกันกว่า 88,000 คน เสียชีวิต จากโรคระบาด นักการเมืองอเมริกันยังคงไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเดินหน้าโกหกต่อไป
Bo/Lei/Zi