เมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันจากรัฐมินนิโซตา ของสหรัฐ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวกระทำเกินกว่าเหตุจนถึงแก่ชีวิต เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ในเมืองกว่า 70 แห่งทั่วสหรัฐฯ และในการชุมนุมหลายแห่งเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง โดยผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจ จุดไฟเผาทำลายสิ่งของ อาคาร และปล้นทรัพย์สิน เป็นภาพที่คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว
แต่นักการเมืองสหรัฐฯ กลับเปลี่ยนทัศนคติอย่างรวดเร็ว โดยลืมไปว่าก่อนหน้านี้เคยพูดถึงความรุนแรงในฮ่องกงว่าอย่างไร บรรยายความรุนแรงในฮ่องกงว่าเป็น"ภูมิทัศน์ที่สวยงาม" เรียกผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงของฮ่องกงว่าเป็น "นักสู้เพื่อประชาธิปไตย" โจมตีตำรวจฮ่องกงที่มีความยับยั้งชั่งใจและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด แต่ในครั้งนี้กลับเรียกการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นในสหรัฐว่าเป็น "การจลาจล" เรียกชาวอเมริกันที่ออกมาประท้วงการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติว่าเป็น "อันธพาล" สรรเสริญตำรวจผู้ขับรถชนฝูงชนเป็น "แบบอย่าง" จนกระทั่งขู่ว่าจะทำร้ายผู้ชุมนุมและใช้กองทัพเพื่อปราบปราม
จะเห็นได้ว่านักการเมืองสหรัฐมีสองมาตรฐานที่ชัดเจน ทำให้โลกได้เห็นว่านักการเมืองสหรัฐฯสามารถกลับดำเป็นขาว ละเมิดความยุติธรรม เพื่อคะแนนเสียงและผลประโยชน์ทางการเมือง รวมทั้งยุยง ปลุกปั่น และก่อให้เกิดการจลาจลทั่วโลกโดยอ้างว่า "ยืนอยู่ข้างประชาชนฮ่องกง" แต่ที่จริงแล้วไม่สนใจชีวิตผู้คน เอาแต่ผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง
จอห์น รอส(John Ross) นักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า “หลังจากเปรียบเทียบสถานการณ์ระหว่างมินนิโซตากับฮ่องกง จะเห็นว่า คนที่สังหารและละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นตำรวจมินนิโซตา ไม่ใช่ตำรวจฮ่องกง ” แม้ว่าการชุมนุมในสหรัฐฯ จะมาจากมูลเหตุจูงใจที่ต่างกันกับในฮ่องกง แต่สหรัฐก็ยุยงปลุกปั่นฮ่องกง ช่วยให้คนเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า นักการเมืองสหรัฐฯ บางคน ไม่ได้คิดถึงคนในฮ่องกง มุ่งเอาแต่คะแนนเสียงและผลประโยชน์ทางการเมืองตน และมุ่งขัดขวางการพัฒนาของจีน แม้ว่าสุดท้ายผู้ที่เสียผลประโยชน์ที่สุดก็คือฮ่องกง
Bo/Patt/Zdan