“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง”-ความห่วงใยประชาชนของ‘สี จิ้นผิง’

2020-12-30 09:03:34 | CMG
Share with:

“ต้องยืนหยัดประชาชนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” “ต้องมีความรู้สึกนึกคิดร่วมกับประชาชน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน และต้องสามัคคีฟันฝ่าต่อสู้ร่วมกับประชาชนตลอดไป” และ “ต้องถือความสุขของประชาชนเป็นเกณฑ์ทดสอบประสิทธิภาพการปฏิรูป” — นายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน แสดงความรักความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อประชาชนด้วยภาษาที่เรียบง่ายในวาระและสถานที่ต่าง ๆ

ในใจมีประชาชนคิดถึงประชาชนตลอด คำพูดใกล้ชิดประชาชน ฟันฝ่าต่อสู้เพื่อประชาชน — ความรักและความห่วงใยประชาชนของปธน.สี จิ้นผิง มีจุดเริ่มต้นจากการเติบโตโดยผ่านความยากลำบากมากมาย

ค.ศ. 1962 นายสี จิ้นผิงในวัยเยาว์ถูกเลือกปฏิบัติจากผลกระทบของกรณีนายสี จ้งซวิน ผู้นำรุ่นอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บิดาของนายสี จิ้นผิง ที่ได้รับการลงโทษเพราะถูกปองร้ายระหว่าง “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” นายสี จิ้นผิง เคยถูกกล่าวหาและวิพากษ์วิจารณ์ เคยอดอยากและเร่ร่อน กระทั่งถูกคุมขัง

ต้นค.ศ. 1969 นายสี จิ้นผิง ในวัยไม่ถึง 16 ปี ยื่นสมัครเข้าทำงานในชนบททางภาคเหนือของมณฑลส่านซี หลังผ่านการอนุมัติเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ตำบลเหวินอานอี้ อำเภอเหยียนชวน มณฑลส่านซี และอาศัยอยู่ใน “เหยาต้ง” หรือ บ้านถ้ำ เนื่องจากในบ้านถ้ำมีหมัดชุกเขาจึงถูกหมัดกัดจนมีตุ่มพองเต็มร่างกายและจำต้องโปรยผงสารเคมีกำจัดศัตรูพืชใต้ที่นอนเพื่อกำจัดหมัด

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่นั่น นายสี จิ้นผิง แทบไม่มีเวลาพักผ่อน เขาเคยทำงานสารพัด เช่น ทำไร่ ทำสวน ขนถ่านหิน และสร้างเขื่อนเล็ก ๆ สำหรับป้องกันการชะล้างของดินและทราย ตลอดจนหาบมูลชีวภาพ เป็นต้น เคยผ่านความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในสายตาของชาวบ้าน นายสี จิ้นผิง ซึ่งสามารถหาบข้าวสาลีหนัก 100 - 200 ชั่ง หรือ 50 – 100 กิโลกรัม เดินตามถนนบนเทือกเขาเป็นระยะทาง 10 ลี้ หรือ 5 กิโลเมตรได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ไหล่อีกข้างหนึ่งเลยนั้นถือเป็น “ชายหนุ่มน่ารักที่ขยันทำงานและมีความอดทนสูง” นายสี จิ้นผิงที่ “ทำงานเต็มที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย” แถม “มีความรู้และมีไอเดียมาก” จึงค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจจากบรรดาชาวบ้าน เขาไม่เพียงแต่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสันนิบาตเยาวชนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น หากยังได้รับโอกาสให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหออีกด้วย

“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง” — ความห่วงใยประชาชนของ ‘สี จิ้นผิง’_fororder_1973年上山下乡时期,习近平(左二)在陕西延川县

แม้ชีวิตความเป็นอยู่บนผืนดินเหลืองในมณฑลส่านซียากลำบากมากแต่ที่นั่นก็ได้กลายเป็นเวทีแรกที่ช่วยให้นายสี จิ้นผิงได้รับการฝึกอบรม เติบโต และแสดงฝีมือความสามารถ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรยามว่างจากการทำไร่ทำสวนในฤดูหนาวเขานำชาวบ้านช่วยกันสร้างเขื่อนขนาดเล็กเพื่อป้องกันดินทรายไม่ให้ไหลไปกับกระแสน้ำยามฝนตก ทุกครั้งเขาจะเป็นคนแรกที่ยืนบนน้ำแข็งด้วยเท้าเปล่าแล้วทุบน้ำแข็งออกเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยเพื่อก่อฐานเขื่อน นายสี จิ้นผิงรวบรวมช่างตีเหล็กในหมู่บ้านตั้งสหกรณ์อุปกรณ์เหล็ก เครื่องมือการเกษตรที่ผลิตได้นอกจากป้อนให้ใช้งานภายในหมู่บ้านตัวเองอย่างเพียงพอแล้ว ยังขายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงสร้างรายได้ส่วนรวมเพิ่มแก่หมู่บ้านด้วย หลังอ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวว่าในมณฑลเสฉวนมีการทำบ่อก๊าซชีวภาพ นายสี จิ้นผิงจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อศึกษาการทำบ่อก๊าซชีวภาพโดยเฉพาะ เมื่อกลับจากเสฉวนเขานำชาวบ้านสร้างบ่อก๊าซชีวภาพแห่งแรกในภาคเหนือของมณฑลส่านซี และทำให้หมู่บ้านเหลียงเจียเหอกลายเป็นหมู่บ้านแห่งแรกของมณฑลที่มีบ่อก๊าซชีวภาพพอใช้งานอย่างทั่วถึงซึ่งแก้ไขปัญหาพลังงานในการประกอบอาหารและไฟส่องสว่างแก่ชาวบ้าน

นายสี จิ้นผิงยก “หมานโถว” ซึ่งเป็นขนมนึ่งทำจากแป้งข้าวสาลีขาวที่หมู่บ้านจัดสรรให้ตัวเขาในฐานะ “เยาวชนผู้มีความรู้” ต่อให้แก่ชาวบ้านทาน แต่ตัวเขาเองกลับกินแต่ “คังวัววัว” ซึ่งเป็นขนมนึ่งทำจากเปลือกข้าวแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งนายสี จิ้นผิงได้รับมอบรางวัลเป็นรถมอเตอร์ไซด์สามล้อแบบมีหลังคาจากรัฐบาลส่วนกลางในฐานะ “เยาวชนผู้มีความรู้ดีเด่น” ซึ่งสมัยนั้นรถแบบดังกล่าวยังพบเห็นได้น้อยมากในท้องถิ่นที่นั่น แต่นายสี จิ้นผิงกลับใช้รถคันนี้ไปแลกเครื่องจักรกลการเกษตรมาให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์แทน ซึ่งรวมถึงรถแทรกเตอร์ เครื่องโม่แป้ง เครื่องกำจัดสิ่งเจือปนในข้าวเปลือก และปั๊มสูบน้ำ

แม้ต้องหยุดเรียนกลางคันแต่นายสี จิ้นผิงก็ใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองมาโดยตลอดอย่างไม่ลดละ ระหว่างเดินทางไปทำงานประจำที่บ้านเหลียงเจียเหอ เขาขนหีบที่บรรจุหนังสือจนเต็มและมีน้ำหนักมากติดตัวไปด้วย ตอนกลางวันทำงานพอถึงเวลาพักผ่อนก็ค่อยหยิบหนังสือออกมาอ่าน เวลาออกไปเลี้ยงแกะก็ยังอ่านหนังสือบนเนินสูงดินเหลือง ตกกลางคืนก็มักอ่านหนังสือใต้โคมไฟน้ำมันก๊าดจนดึกดื่น ในความทรงจำของชาวบ้าน นายสี จิ้นผิงมักจะกินข้าวไปพลางอ่าน “หนังสือเล่มหนาเท่าอิฐ” ไปพลาง

ค.ศ. 1975 นายสี จิ้นผิงได้รับการเสนอชื่อให้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง วันที่เดินทางออกจากหมู่บ้านบรรดาชาวบ้านต่างพากันยืนเรียงแถวยาวเพื่อส่งเขา ชาวบ้านหลายคนถึงกับร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ หลายคนร่วมเดินส่งเขาเป็นระยะทางหนึ่งแล้วต่อด้วยอีกระยะทางหนึ่ง ชาวบ้านยังได้ร่วมกันมอบกรอบที่เขียนตัวหนังสือไว้ว่า “เลขาธิการที่ดีของประชาชนชาวนา” แก่นายสี จิ้นผิงด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณและชื่นชมด้วยความจริงใจ

หลังอำลาจากหมู่บ้านเหยียงเจียเหอ นายสี จิ้นผิงคิดถึงบรรดาเพื่อน ๆ ชาวบ้านในที่นั่นตลอด เขาเคยช่วยให้หมู่บ้านเชื่อมต่อเข้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้า ช่วยสร้างสะพาน รวมถึงบูรณะซ่อมแซมโรงเรียนประถมด้วย สมัยนายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน เขาเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านของแต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงวัยที่ยากจน มอบกระเป๋านักเรียนใหม่ เครื่องเขียน และนาฬิกาปลุกแจ้งเวลาเรียนแก่เด็ก ๆ ระหว่างที่นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งผู้นำมณฑลฝูเจี้ยน เขารับเพื่อนชาวหมู่บ้านเหลียงเจียเหอที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงมารับการรักษาพยาบาลที่ฝูเจี้ยนโดยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

การใช้ชีวิตในชนบทร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นเวลา 7 ปี  เป็นช่วงเวลาที่นายสี จิ้นผิงคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านอย่างเรียบง่ายบนที่ราบสูงดินเหลือง การใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าชนบทของจีนเป็นอย่างไร อะไรคือทุกข์สุขของชาวบ้าน และอะไรคือสภาพโดยทั่วไปของประเทศจีน เขาหลอมรวมความผูกพันอันใกล้ชิดกับประชาชนและความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศในการแสวงหาชีวิตของตนเองอย่างลึกซึ้ง

นายสี จิ้นผิงเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ในชีวิตของเขาผู้ที่มีส่วนช่วยเขามากที่สุด “หนึ่ง คือ นักปฏิวัติรุ่นอาวุโส” “สอง คือ บรรดาเพื่อน ๆ ชาวบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี” เมื่อไปถึงดินแดนสีเหลืองในวัย 16 ปี เขาเคยสับสนและกระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง ตอนออกจากที่นั่นในวัย 22 ปี เขามีเป้าหมายชีวิตที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วนั่นก็คือ “ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง”

“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง” — ความห่วงใยประชาชนของ ‘สี จิ้นผิง’_fororder_1979年,在中央军委办公厅工作时的习近平

หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหวาในค.ศ. 1979 นายสี จิ้นผิงเข้าทำงานที่สำนักงานคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ในค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งเริ่มลาออกจากระบบราชการเพื่อไปประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือ ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ แต่นายสี จิ้นผิงกลับเลือกไปทำงานที่อำเภอเจิ้งติ้ง ในมณฑลเหอเป่ย โดยยอมทิ้งชีวิตที่ดีในกรุงปักกิ่ง ในค.ศ. 1981 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของอำเภอเจิ้งติ้งมีมูลค่าไม่ถึง 150 หยวน ช่วงเริ่มแรก คนจำนวนไม่น้อยขาดความมั่นใจในความสามารถของนายสี จิ้นผิงซึ่งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอในวัยหนุ่ม

นายสี จิ้นผิงทำงานอย่างจริงจังแต่ไม่เคยเรียกร้องความสนใจจากผู้คน เขานอนค้างคืนที่ห้องทำงาน ทานข้าวที่โรงอาหารส่วนรวม เข้าคิวรับอาหารเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ทั่วไป นั่งยอง ๆ ใต้ต้นไม้แล้วทานข้าวไปพลางพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานไปพลาง เขายังมักปั่นจักรยานไปยังเขตชนบทเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวชาวบ้าน พูดคุยและไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เวลาผ่านไปไม่นานเขากลายเป็นคนคุ้นเคยสนิทสนมของชาวบ้าน

ในใจของนายสี จิ้นผิง ประชาชนสำคัญมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางไปยังสถานที่ระดับล่างมากที่สุด

“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง” — ความห่วงใยประชาชนของ ‘สี จิ้นผิง’_fororder_1988年,时任福建宁德地委书记的习近平下乡调研时和群众一起参加劳动

ค.ศ. 1988 นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน เมืองหนิงเต๋อในเวลานั้นเป็น 1 ใน 18 พื้นที่ยากจนที่สุดของจีน เพื่อลงพื้นที่หมู่บ้านที่นั่นให้ทั่วถึง นายสี จิ้นผิงมักนั่งรถจี๊ปไปบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อบนเทือกเขาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน แรงสั่นสะเทือนมักทำให้เขานั่งหลังตรงไม่ได้ กระทั่งบางครั้งก็ปวดท้องจนไม่สามารถลงจากรถได้พักใหญ่ สำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ถนนยังไม่เข้าถึงเขาเดินลุยไปตามทางบนเทือกเขาที่น่าหวาดเสียว ชื้นแฉะ ลื่น และเต็มไปด้วยโคลนจนกว่าจะถึงจุดหมาย ในพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นมีตำบลแห่งหนึ่งชื่อว่า “เซี่ยตั่ง” นายสี จิ้นผิงออกเดินทางตั้งแต่เช้าในเวลา 7.30 น. กว่าจะถึงก็เลยเวลาเที่ยงวัน เขาได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและเอิกเกริกที่สุด บรรดาชาวบ้านพูดว่านายสี จิ้นผิง “มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในบรรดาข้าราชการที่เคยมาถึงที่นี่”

เขาขับเคลื่อนการดัดแปลงบ้านพักที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคาซึ่งชาวบ้านหลายพันคนอาศัยอยู่กันมาเป็นเวลายาวนาน เขาผลักดันการสร้างบ้านพักใหม่บนดินแดนชายฝั่งทะเลแก่ชาวประมงซึ่งเดิมใช้ชีวิตเร่ร่อนในท้องทะเลตั้งแต่รุ่นปู่ ช่วยให้พวกเขาสามารถออกทะเลทำประมงพอขึ้นฝั่งก็มีบ้านพักบนดินเป็นหลักแหล่งมีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุขมากกว่าเดิมอย่างมาก

ขณะทำงานที่เมืองหนิงเต๋อ นายสี จิ้นผิงเสนอ “การลงพื้นที่ระดับล่าง” สี่ประการ ได้แก่ การรับเรื่องร้องทุกข์ควรลงพื้นที่ระดับล่าง การปฏิบัติงานควรลงพื้นที่ระดับล่าง การศึกษาค้นคว้าควรลงพื้นที่ระดับล่าง และการประชาสัมพันธ์นโยบายควรลงพื้นที่ระดับล่าง ภายหลังนายสี จิ้นผิงย้ายไปทำงานที่เมืองฝูโจว เขาได้สร้างระบบให้ข้าราชการระดับสูงลงพื้นที่รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนโดยตรง ครอบคลุมถึง 5 เขตและ 8 อำเภอของเมืองฝูโจว นายสี จิ้นผิงเคยนำข้าราชการระดับสูงจากเขตและเมืองฝูโจวไปรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนกว่า 700 คนภายในเวลาเพียง 2 วัน จนสามารถคลี่คลายปัญหาทันที หรือ กำหนดเวลาแก้ไขปัญหาราว 200 รายการ ต่อมาภายหลังนายสี จิ้นผิงได้ขับเคลื่อนระบบนี้ที่มณฑลเจ้อเจียงด้วย โดยเขากล่าวว่า “การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนและรับเรื่องร้องทุกข์นั้นเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ต่อระดับมาตรฐานและขีดความสามารถของข้าราชการระดับสูง ประชาชนที่มายื่นเรื่องร้องทุกข์เป็นผู้ออกข้อสอบ เรื่องราวร้องทุกข์เป็นข้อสอบ ส่วนความพึงพอใจของประชาชนเป็นคำตอบ”

เดือนกันยายน ค.ศ. 2003 นายสี จิ้นผิงนำข้าราชการ 3 ระดับ ได้แก่ มณฑล เมือง และอำเภอ เดินทางลงพื้นที่รับเรื่องร้องทุกข์ที่อำเภอผู่เจียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้งและเสียงบ่นของประชาชนค่อนข้างมาก เขาสั่งให้แจ้งประชาชนรับทราบเรื่องการลงพื้นที่อย่างชัดเจนและทั่วถึง จากการลงพื้นที่ครั้งนั้นที่เป็นจุดเริ่มต้น มณฑลเจ้อเจียงได้จัดให้ข้าราชการระดับสูงลงพื้นที่อย่างทั่วถึงสร้างระบบในระยะยาวเกี่ยวกับการลงพื้นที่ของข้าราชการระดับสูงในทุกระดับการปกครองอย่างครอบคลุมภายในมณฑลเจ้อเจียง

ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน ค.ศ. 2005 นายสี จิ้นผิงเดินทางไปยังเหมืองถ่านหินฉางกว่าง สาขามณฑลเจ้อเจียง เขาโดยสาร “กรง” ลงไปยังก้นเหมืองที่อยู่ลึกใต้ดินราว 1,000 เมตร ก้มศีรษะงอตัวเดินตามทางเดินที่ทั้งเตี้ยและคับแคบเป็นระยะทาง 1,500 เมตร เพื่อไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกรรมกรที่จุดขุดแร่โดยเฉพาะ

นายสี จิ้นผิงให้ความสำคัญอย่างมากต่อการแลกเปลี่ยนกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน เขาเคยลงบทวิเคราะห์สั้น 232 บทในคอลัมน์พิเศษของหนังสือพิมพ์ “เจ้อเจียงเดลี่” โดยใช้นามปากกา “เจ๋อซิน” เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดในชีวิตประจำวันอย่างทันกาลด้วยสำนวนภาษาที่แลกเปลี่ยนกันอย่างเสมอภาค เขาเล่าเรื่องราวโดยใช้เหตุผลและทำให้เข้าใจง่ายจึงได้รับการต้อนรับอย่างมาก ประชาชนกล่าวว่านี่คือ “การพูดประเด็นสำคัญ ๆ ด้วยภาษาที่เรียบง่าย”

นายสี จิ้นผิงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้างและจริงใจเสมอ แต่ถ้าเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวพันผลประโยชน์ของประชาชนเขาจะยึดมั่นในหลักการอย่างเด็ดขาด เขามักกล่าวว่า ข้าราชการระดับสูงต้องดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงหาใช่ดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อน เมื่อครั้งสะสางคดีเจ้าหน้าที่รัฐสร้างบ้านพักส่วนตัวโดยไม่ชอบธรรมที่เมืองหนิงเต๋อนั้น เขาได้วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อสภาพที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่กล้าใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมทุบโต๊ะว่า “เราควรสร้างความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่หลายพันคนหรือสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนหลายล้านคน” ขณะดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในมณฑลเจ้อเจียง นายสี จิ้นผิงขับเคลื่อนการสร้างครรลองของเจ้าหน้าที่รัฐขนานใหญ่ ภายในเวลา 1 ปี มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากได้รับการลงโทษเนื่องจากขาดผลงานอันพึงมี

“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง” — ความห่วงใยประชาชนของ ‘สี จิ้นผิง’_fororder_2013年5月21日,中共中央总书记、国家主席、中央军委主席习近平到四川芦山地震灾区考察时在一安置点帐篷内亲抚小孩

นายสี จิ้นผิงเป็นผู้นำที่คอยเอาใจใส่และช่วยเหลือผู้อื่น เขาไม่เคยลืมบุญคุณของครูบาอาจารย์ เมื่อถึงปีใหม่เขามักส่งคำอวยพรและแสดงความปรารถนาดีไปยังครูบาอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ เขาเคารพผู้สูงวัยและรักเด็ก ขณะทำงานที่อำเภอเจิ้งติ้ง เขาเคยให้เจ้าหน้าที่ผู้สูงวัยใช้รถเก๋งคันแรกของอำเภอแทนที่ตัวเขาจะใช้เองในฐานะข้าราชการะดับสูง ทั้งยังจัดห้องทำกิจกรรมและห้องรักษาพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่สูงวัยโดยเฉพาะด้วย ขณะทำงานที่เมืองฝูโจวเขาเคยบริจาคทุนช่วยเหลือเด็กและครอบครัวยากจนให้เรียนหนังสือจนจบกระทั่งพวกเขาได้งานทำ

การยืนหยัดทำงานโดยลงพื้นที่ระดับล่างอย่างขยันแข็งขันเป็นเวลาหลายปี แถมเปี่ยมไปด้วยครรลองการทำงานที่จริงจังและใกล้ชิดประชาชน ทำให้นายสี จิ้นผิงได้รับการชื่นชมจากประชาชนในวงกว้างไพศาลว่าเป็น “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งชาวบ้าน” เขากล่าวว่า “สำหรับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างพวกเรา ชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยงเรา ต้องรักชาวบ้านเหมือนรักพ่อแม่ สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน และนำพาชาวบ้านสู่ชีวิตที่ดีงาม”

TIM/LU

  • เสียงข่าวประจำวัน (15-11-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (15-11-2567)

  • เสียงคุยกันวันละประเด็น (15-11-2567)

  • เสียงข่าวประจำวัน (14-11-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (14-11-2567)

陆永江