ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา วั่น จั่วเฉิง และสง เกินเซียง คู่สามีภรรยาผู้เปิดบริการ “ห้องครัวต้านโรคมะเร็ง” ได้พบผู้ป่วยและครอบครัวมากมาย และรับทราบชีวิตของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
นายเก่อ อวี้เป่า อายุ 52 ปี มาจากเมืองซั่งเหยา มณฑลเจียงซี เมื่อครึ่งปีก่อน ภรรยาป่วยโรคมะเร็งที่จมูก เขาบอกว่า เมื่อได้ยินข่าวนี้ รู้สึกท้องฟ้าถล่มลงมา นายแพทย์บอกเขาว่า ต้องมีคนดูแลที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ ผู้ป่วยจึงจะหายได้เร็ว เขาลังเลมานานแล้ว จึงตัดสินใจลาจากตำแหน่งและดูแลภรรยา
แรกๆ เขาซื้อข้าวที่ร้านอาหารที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล แต่อย่างไรก็รู้สึกรสชาติไม่ค่อยพอใจ สองสัปดาห์ผ่านมา มีคนบอกเขาว่า มีห้องครัวต้านโรคมะเร็งอยู่แถวใกล้ๆ ครอบครัวผู้ป่วยสามารถใช้เตาและหม้อที่โน่น และปรุงอาหารเอง เขาดีใจมาก เพราะภรรยาชอบเพียงอาหารของบ้านเกิด และชอบกินซุป และสั่งอาหารที่ร้านอาหารราคาก็ค่อนข้างสูง
เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถซื้อผักจากตลาดและกลับมาทำเอง พร้อมจ่ายเพียงจานละ 1 หยวน ซุปหม้อละ 2 หยวน จะสามารถประหยัดต้นทุนมากกว่า 50% เขาบอกว่า การต้านโรคมะเร็งนั้น ก่อนอื่น ต้องกินให้อิ่ม ไม่งั้น อารมณ์ไม่ดี ก็จะฟื้นตัวช้าแน่นอน
คุณย่าเติ้ง หงเหมย อายุ 62 ปี ปรุงอาหารที่ห้องครัวต้านโรคมะเร็งมา 3 ปีแล้ว เวลา 6 โมงทุกเช้า เธอจะออกมาทำข้าวต้มให้ลูกสาว เวลา 11 โมงครึ่ง เธอก็จะปรุงอาหารกลางวันให้ลูกสาวที่นี่เหมือนกัน เธอบอกว่า ตั้งแต่มาทำอาหารที่นี่ อาหารของลูกสาวปรับดีขึ้นอย่างมาก ซึ่งห้องครัวต้านโรคมะเร็งได้ช่วยผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก ไม่เพียงได้ประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งยังสามารถกินอาหารจากบ้านเกิดได้
เมื่อกว่า 20 ปีมาก่อน คุณพ่อของวั่น จั่วเฉิง เสียชีวิตจากโรงมะเร็ง เนื่องจากว่าครอบครัวยากจนลำบาก และอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล ไม่มีคนดูแล คุณพ่อจึงไม่ค่อยได้กินอาหารที่ถูกปากจนถึงเสียชีวิตไป ทำให้วั่น จั่วเฉิงเข้าใจความทุกข์และความเศร้าใจของครอบครัวผู้ป่วย ดังนั้น เขาและภรรยาจึงตัดสินใจเสนอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวผู้ป่วย
สง เกินเซียง บอกว่า ครอบครัวมากมายได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งในระยะยาว ดังนั้น ก็มาทำอาหารที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล อยากกินอะไรก็ทำได้ เพราะการทำอาหารก็เป็นวิธีการคลายอารมณ์ที่ตึงเครียดของครอบครัว
ปัจจุบัน คู่สามีภรรยามีอายุเกือบ 70 แล้ว ยังยืนหยัดตื่นเช้าตี 4 เพื่อเตรียมให้ครอบครัวผู้ป่วยมาทำอาหารเช้า หลังจากที่ครอบครัวผู้ป่วยทำอาหารทั้งวันเสร็จแล้ว สองคนนี้ยังต้องทำความสะอาด เพื่อให้มีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและสบายในวันถัดไป จึงต้องทำงานถึงประมาณ 4 ทุ่ม
บางทีก็รู้สึกทำงานหนักเกินไป แต่เมื่อลูกชายอยากรับพวกเขาไปอยู่ด้วยกัน คู่สามีภรรยานี้ก็ปฏิเสธไป พวกเขาบอกว่า เมื่อเทียบกับครอบครัวผู้ป่วย พวกเขายังสุขสบายโชคดีกว่ามาก ดังนั้น ถ้าสามารถช่วยครอบครัวผู้ป่วยได้นิดหน่อย ก็จะรู้สึกดีใจมาก
ทั้งสองตั้งใจจะให้บริการกับครอบครัวผู้ป่วยจนถึงทำไม่ไหว และเชื่อว่า ความรักจะส่องหนทางการก้าวหน้าของผู้คนให้สว่างมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางคนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ แต่เพียงได้กินอาหารที่ชอบ ผู้ป่วยก็จะมีอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก และคนในครอบครัวก็จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลังด้วย สองสามีภรรยาบอกว่า แม้ร่างกายเหนื่อย แต่ในใจสดชื่นมาก
เมื่อปีที่แล้ว เทศบาลท้องถิ่นได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือ 130,000 หยวน เพื่อช่วยสร้างห้องครัวนี้ใหม่ ซึ่งได้ย้ายจากกลางแจ้งมาเป็นข้างในห้องที่มีเนื้อที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร ส่วนชั้นสองเป็นห้องเก็บสิ่งของ และที่พักอาศัยของคู่สามีภรรยานี้ และบางทีก็ช่วยครอบครัวรับฝากของเก็บวางไว้ด้วย แต่แม้ว่าห้องครัวได้ขยายกว้างขึ้นแล้ว ผู้ที่มาทำอาหารก็มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ห้องครัวแออัดยิ่งขึ้น
เมื่อถูกถามว่า มีปัญหายากลำบากอะไรบ้าง สง เกินเซียง ก็ส่ายหัว และบอกด้วยรอยยิ้มว่า ไม่มีความลำบากอะไร เพราะเมื่อมีคนรู้จักห้องครัวนี้แล้ว รัฐบาลก็ให้ความสำคัญ สภาพดีขึ้นมากแล้ว
ครอบครัวมากมายทำอาหารที่นี่มาหลายเดือน และถือห้องครัวนี้เป็นบ้านที่สองของตน มีครอบครัวผู้ป่วยรายหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาเป็นคนใจดีมาก เป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลก
จริงๆ แล้ว แวดวงต่างๆและคนใจดีในสังคมก็ได้เสนอจะให้ทุนสนับสนุน “ห้องครัวต้านโรคมะเร็ง” แห่งนี้ แต่คู่สามีภรรยาตอบพวกเขากลับไปว่า การต้านโรคมะเร็ง ก่อนอื่นคือการรักษาพยาบาล สองคือ ต้องเพิ่มเติมสิ่งบำรุงสุขภาพ และสุดท้ายก็คือ ให้มีอารมณ์ที่ดี ถ้าสามารถทำได้ทั้งสามอย่าง โรคมะเร็งก็รักษาได้ ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น จะเก็บรายได้จากห้องครัวนี้ไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายที่ทุกคนให้มาที่นี่เป็นเงินจากการทำงานหนักและเป็นเงินที่ช่วยชีวิต