ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯที่นำโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อสงครามการค้ากับจีน กีดกันวิสาหกิจจีนโดยไร้เหตุผล ตลอดจนยับยั้งการพัฒนาของจีน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมที่สุดในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม การติดต่อไปมาหาสู่กันทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ระหว่างจีน-สหรัฐฯยังคงมีความคึกคักอย่างมาก ได้นำมาซึ่งความหวังที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯกลับสู่ครรลองที่ถูกต้องอีกครั้ง
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงแก่ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯมาโดยตลอด ก่อนที่สหรัฐฯก่อสงครามการค้ากับจีนภายใต้กรอบการเจรจาทางยุทธศาสตร์ และเศรษฐกิจระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนและพูดคุยเจรจากันอย่างมีประสิทธิผลมาโดยตลอด ทำให้สามารถจัดการกับความเห็นต่างอย่างเหมาะสม และได้เพิ่มพูนความไว้เนื้อเชื่อใจกันในการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีความใกล้ชิดกันมากนั้น ได้นำมาซึ่งประโยชน์ร่วมกันให้แก่ทั้งสองฝ่าย หลายปีมานี้ จีน-สหรัฐฯต่างเป็นหุ้นส่วนการค้า และแหล่งการลงทุนสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่ง
ข้อมูลของสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีนแสดงให้เห็นว่า เมื่อปี 2017 ความร่วมมือทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้สร้างตำแหน่งงานประมาณ 26 ล้านตำแหน่งให้แก่ชาวสหรัฐฯ
แต่ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์บริหารประเทศ สหรัฐฯชูแนวคิด “อเมริกาต้องมาก่อน ” ใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ตลอดจนทำสงครามการค้ากับจีน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯเผชิญกับความท้าทาย
การที่สหรัฐฯก่อสงครามการค้ากับจีน และป่าวร้องจะแยกขาดออกจากจีนนั้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างความเสียหายมหาศาลแก่วิสาหกิจและประชาชนสหรัฐฯเท่านั้น หากยังได้ทำลายศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วย
รายงานฉบับหนึ่งของสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีนที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่า การทำสงครามการค้ากับจีนทำให้สหรัฐฯสูญเสียตำแหน่งงานราว 245,000 ตำแหน่ง หากสหรัฐฯยกระดับการทำสงครามการค้ากับจีนต่อไปจนถึงกับตัดขาดจากจีนในที่สุด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของสหรัฐฯในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะหดตัว 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ จีน-สหรัฐฯ ในฐานะสองเขตเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกมีส่วนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน และเกื้อกูลกันในหลายๆ ด้าน ถึงแม้นักการเมืองจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯต้องการให้รัฐบาลใช้นโยบายแข็งกร้าวกับจีน แต่พวกเขาไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ทางการค้า และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีน-สหรัฐฯได้อย่างแน่นอน
ปี 2020 แม้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่การค้าทวิภาคีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง การค้าสินค้าระหว่างสองประเทศได้ขยายตัว 8.8% มีมูลค่าสูงถึง 406 ล้านล้านหยวน
ในด้านธุรกิจ วิสาหกิจสหรัฐฯจำนวนมากสนใจในตลาดจีน และบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐหลายๆบริษัท เช่น บริษัท Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ บริษัท Walmart ร้านค้าปลีกชื่อดังจากสหรัฐฯ และเอ็กซอน บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐต่างได้เพิ่มการลงทุนในจีน และดำเนินความร่วมมือกับบริษัทจีน
ในด้านการเงิน จีน-สหรัฐฯก็มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ปัจจุบัน เนื่องจากนับวันมีบริษัทจีนจำนวนมากขึ้นเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ บริษัทยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีทหลายแห่งได้เข้ามาประกอบธุรกิจในจีน
นอกจากนี้ เนื่องจากจีนได้เปิดตลาดการเงินมากขึ้น บริษัท BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก ได้รับการอนุญาตจากทางการจีนให้ดำเนินความร่วมมือกับธนาคารแห่งรัฐของจีน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิตช์ เรตติ้ง (Fitch Ratings) ก็ได้รับไฟเขียวให้เข้าสู่ตลาดจัดอันดับความน่าเชื่อถือของจีนเช่นกัน
จีน-สหรัฐฯในฐานะสองเขตเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลกมีพันธกรณีที่จะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี เพราะไม่เพียงแต่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ หากยังสอดคล้องกับประโยชน์ของประเทศอื่นทั่วโลกด้วย
ขณะนี้ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯได้เดินมาถึงทางแยกแห่งใหม่ จีนเชื่อมั่นว่า จากการดำเนินการติดต่อไปมาหาสู่กันทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ในอนาคตที่คาดการณ์ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯจะสามารถกลับสู่หนทางที่พัฒนาอย่างมั่นคงและปกติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องอีกครั้ง
(yim/cai)