เมื่อเร็วๆนี้ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนลงพื้นที่ตรวจงานที่เขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกว่างซี(กวางสี) ทางภาคใต้ของจีน และเน้นอีกครั้งถึงความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
โดยเมื่อบ่ายวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเดินทางถึงท่าเรือแห่งหนึ่งของแม่น้ำหลีเจียง ช่วงที่ไหลผ่านอำเภอหยางซั่ว เมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกว่างซี เพื่อรับฟังรายงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ำหลีเจียง ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงชี้ย้ำว่า แม่น้ำหลีเจียงเป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของจีนและของโลก ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ำสายนี้ต้องไม่ถูกทำลายโดยเด็ดขาด
เมื่อ ค.ศ. 2017 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยลงพื้นที่ตรวจงานที่เขตอนุรักษ์ป่าโกงกางบริเวณอ่าวทองในเมืองเป๋ยไห่ เขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกว่างซี และกล่าวว่า ความได้เปรียบทางด้านระบบนิเวศของเขตกว่างซีไม่ควรถูกนำไปแลกกับสิ่งอื่นใด แม้ทองคำก็ไม่ได้
ผู้นำจีนให้ความสำคัญในระดับสูงกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่กำลังอยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจงานที่มณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ได้เดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติภูเขาอู่อี๋ซาน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงชี้ว่า ต้องเร่งพัฒนาระบบการอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีอุทยานแห่งชาติเป็นศูนย์กลาง เพื่ออนุรักษ์ความสมบูรณ์ และความหลากหลายของระบบนิเวศ ระหว่างลงพื้นที่ตรวจงานทุกครั้ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเน้นตลอดว่า ความทันสมัยที่จีนกำลังมุ่งมั่นพัฒนานั้น เป็นความทันสมัยที่ให้เกิดความกลมกลืน และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับ 14 และเป้าหมายระยะไกล ค.ศ.2035 จีนจะต้องบรรลุเป้าหมายการสร้างสรรค์ประเทศที่สวยงาม ทำให้ระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีโดยสิ้นเชิงภายใน ค.ศ.2035 อีกทั้งต้องสร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่มีความกลมกลืนกัน และมีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
เมื่อ ค.ศ.2018 จีนบรรจุคำว่า “อารยธรรมทางระบบนิเวศ” เข้าไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก ช่วงปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับ 14 จีนจะเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาให้เป็นแบบสีเขียว ให้การใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ลดลง 13.5% และ 18% ตามลำดับ จีนยังประกาศว่า จะพยายามให้การปล่อยคอร์บอนแตะเพดานสูงสุดภายใน ค.ศ. 2030 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางด้านคาร์บอนภายใน ค.ศ.2060
ทุกวันนี้ คำคมของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่ว่า “น้ำใสเขาเขียวก็เป็นดั่งภูเขาทองภูเขาเงิน”ได้ฝังรากลึกลงไปในก้นหัวใจของชาวจีนทั่วประเทศ ประชาชนชาวจีนทั่วประเทศนับวันยิ่งตระหนักดีว่า การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไม่ควรเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเท่ากับการคุ้มครองพลังการผลิต
ยกตัวอย่างเช่นแม่น้ำหลีเจียงที่ไหลผ่านเมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกว่างซี หลังจากรัฐบาลท้องถิ่นใช้มาตรการฟื้นฟูระบบนิเวศ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ำหลีเจียง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองกุ้ยหลินได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อ ค.ศ. 2019 เมืองกุ้ยหลินได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวน 138 ล้านคน มีรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสูงถึง 187,400 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 26.7% และ 34.7% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เราเห็นได้ชัดว่า การบรรลุเป้าหมายเกิดความกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาตินั้นมีความสลับซับซ้อน และความท้าทายมากกว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ำอย่างมาก ขณะนี้ จีนเหลือเวลาไม่ถึง 10 ปีในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนถึงเพดานสูงสุด ในอนาคต จีนจึงต้องเผชิญกับการท้าทายที่หนักหนา และต้องทำงานอย่างหนักยิ่ง
จีนจะต้องสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และกลไก ยับยั้งการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างสิ้นเปลือง ขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดคาร์บอน และส่งเสริมการพัฒนาตลาดพลังงานหมุนเวียน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า ตามคำมั่นสัญญาที่จีนให้ไว้ จีนมีระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หลังบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนแตะเพดานสูงสุด น้อยกว่าประเทศพัฒนามาก ด้วยเหตุนี้ จีนจึงต้องใช้ความพยายามอย่างทรหดอดทนในช่วงหลายปีข้างหน้า
เนื่องจากต้องเผชิญกับการท้าทายต่างๆดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า จีนกำลังก้าวไปบนหนทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาก่อน ความทันสมัยที่จีนกำลังมุ่งมั่นพัฒนานั้น เป็นความทันสมัยที่มีความกลมกลืนกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ปัจจุบัน ประชาชนจีนกำลังมุ่งมั่นแสวงหาการพัฒนาที่มีคุณภาพในระดับสูง และจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อทั้งจีนและทั่วโลกในอนาคต
(yim/cai)