เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า จีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีมรดกโลกหลายแห่ง ในที่ประชุมมรดกโลกครั้งที่ 44 ที่เพิ่งสิ้นสุดลง เมืองเฉวียนโจว ของมณฑลฝูเจี้ยน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในนาม “เฉวียนโจว ศูนย์กลางการค้าทางทะเลโลกของจีนสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน” ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย ทำให้จีนมีจำนวนมรดกโลกรวม 56 รายการ
เมืองโบราณเฉวียนโจว ที่ตั้งอยู่พื้นที่ริมฝั่งทะเลทางตอนใต้ของฝูเจี้ยน มีประวัติศาสตร์การสร้างเมืองที่ยาวนานกว่า 1,300 ปีแล้ว ในช่วงสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน (ระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 14) เฉวียนโจวได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมากในด้านการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ กลายเป็น “ท่าเรือใหญ่อันดับหนึ่งของตะวันออก”

มรดกทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและยังหลงเหลืออยู่ในเมืองเฉวียนโจว กระจัดกระจายอยู่ในเขตอ่าวเฉวียนโจวที่มีเขตเมืองเป็นใจกลาง รวมทั้งสิ้น 22 แห่ง เช่น หินแกะสลักฉีเฟิงในภูเขาจิ่วรื่อซาน
ที่ประชุมมรดกโลกครั้งที่ 44 เห็นว่า เฉวียนโจวสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของเมืองท่าที่มีเอกลักษณ์และมีความยอดเยี่ยมในช่วงประวัติศาสตร์อันพิเศษ โดยแหล่งมรดกทั้ง 22 แห่งได้ครอบคลุมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่สำคัญมากมาย รวมถึงโครงสร้างทางสังคม ระบบการบริหารเมือง การคมนาคม การผลิตและการค้า ทั้งหมดนี้ได้ทำให้เฉวียนโจวค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาขึ้นเป็นอย่างดีระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 14 จนกลายเป็นศูนย์กลางทางทะเลของเครือข่ายการค้าระหว่างเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในช่วงราชวงศ์ซ่งและหยวน พ่อค้า นักเดินทางและนักเผยแผ่ศาสนาจากเปอร์เซียโบราณ อาหรับ อินเดียและประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมทางทะเลมายังเฉวียนโจว ร่วมกันสร้างท่าเรือใหญ่อันดับหนึ่งในตะวันออกแห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรือง ทุกวันนี้ คนรุ่นหลังของพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตกันในดินแดนผืนนี้อยู่
ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การคมนาคมระหว่างประเทศของเฉวียนโจว ได้จัดแสดงซากเรือสำเภาของจีนในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ขุดพบเมื่อปี 1973 เรือลำนี้เดินทางออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระหว่างทางกลับสู่จีนตามเส้นทางสายไหมทางทะเลสมัยโบราณนั้น เรือได้อับปางในท่าเรือโฮ่วจู๋ภายในอ่าวเฉวียนโจว ในบรรดาเศษซากต่างๆ ได้ค้นพบสินค้าจากท้องที่ต่างๆทั่วโลก ซึ่งมีทั้งเครื่องหอม ยาสมุนไพร และเซรามิก ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าเฉวียนโจวเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลระหว่างประเทศของจีน
เรือลำเภา 3 เสาลำนี้มีความยาว 24.5 เมตร กว้าง 9.15 เมตร มีห้อง 13 ห้อง ซึ่งห้องต่างๆ สร้างขึ้นแบบแยกกัน เมื่อมีน้ำซึมเข้าในเรือ ก็จะสามารถลดความเสียหายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามข้อมูลที่พบแสดงให้เห็นว่า ลูกเรือของเรือลำนี้มาจากหลากหลายประเทศทั้งจีน เอเชียตะวันตกและญี่ปุ่น เป็นต้นท
ในพื้นที่จัดแสดงยังมีโบราณวัตถุระดับเอ อีกสองชิ้นในซากเรือ นั่นคือเครื่องหอม แอมเบอร์กริสและกำยาน โดยกำยานขนมาจากโซมาเลีย ในช่วงนั้น แต่ละปีเฉวียนโจวก็จะต้องถวายเครื่องหอมกำยาน 44 ตันที่ได้มาจากการเก็บภาษีสินค้าเข้าด่านให้กับรัฐบาลกลางราชวงศ์ซ่ง เห็นได้ว่าสมัยนั้นการค้ากับต่างประเทศของเฉวียนโจวเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดไหน
สะพานลั่วหยางในเมืองเฉวียนโจวสร้างขึ้นเมื่อปี 1059 เป็นสะพานหินข้ามทะเลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง ได้รับฉายาว่าเป็น “สะพานที่หนึ่งในทะเล” และเป็น 1 ใน 4 สะพานชื่อดังในสมัยโบราณของจีน
แต่ไหนแต่ไรมา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตอม่อหิน ชาวจีนโบราณได้คิดค้น “การเสริมตอม่อด้วยหอยนางรม” ซึ่งก็คือการเพาะเลี้ยงหอยนางรมที่ก้อนหินซึ่งเป็นตอม่อของสะพาน ทำให้มันผสานกันจนกลายเป็นเสาหลักที่เข้มแข็ง นับเป็นตัวอย่างแรกๆ ที่ประยุกต์ใช้วิธีการทางชีวภาพในการก่อสร้างสะพานในโลก
ทุกวันนี้ หลิว ซินหมิน ชาวบ้านเฉวียนโจวจะถือค้อนไม้และสิ่วเหล็กกล้าไปยังสะพานลั่วหยาง เพื่อเพาะเลี้ยงหอยนางรมและดูแลสะพาน ครอบครัวของหลิว ซินหมินได้เพาะเลี้ยงหอยนางรมริมสะพานลั่วหยางมาสามรุ่นแล้ว ในช่วงน้ำลงนั้น ทั้งสองข้างของสะพานจะปรากฏกระชังเลี้ยงหอยนางรมพื้นที่กว้าง ดูเหมือนเป็นฟิล์มป้องกันที่แข็งแกร่งสำหรับสะพาน การเพาะเลี้ยงหอยนางรมตามสะพานนั้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันคลื่นทะเลซัดกระหน่ำเสาค้ำสะพานได้อีกด้วย


