เมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ทำให้ประชาชนญี่ปุ่นและประเทศรอบข้างเกิดความวิตกกังวลและโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงจะปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะอย่างเป็นทางการ ประชาคมโลกจึงมีข้อสงสัยและคัดค้านอย่างกว้างขวาง ระยะเวลา 8 เดือนมานี้ ประชาคมโลกแสดงความกังวลต่อฝ่ายญี่ปุ่นหลายครั้ง แต่ฝ่ายญี่ปุ่นกลับทำตัวเป็นเหมือนคนหูหนวก ยังคงดำเนินแผนการปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่ทะเล อีกทั้งยังคิดที่จะให้ประชาคมโลกรับผิดชอบกับการตัดสินใจที่ผิดของญี่ปุ่น และให้บรรดาประเทศริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกต้องเผชิญกับความเสี่ยง
อันที่จริงแล้ว หลังจากญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่ทะเลแล้ว การผลิตด้านการเกษตร การประมง และสุขภาพอนามัยของประชาชนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นนั้น จะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเป็นอันดับแรก นอกจากนี้แล้ว จะนำมาซึ่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงต่อระบบนิเวศทางทะเลและสุขภาพอนามัยของมนุษยชาติทั้งมวล องค์ประกอบคาร์บอน14ที่อยู่ในน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นจะเป็นอันตรายในเวลาหลายพันปี และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อพันธุกรรมอีกด้วย
แม้ว่าทั่วโลกต่างส่งเสียงคัดค้านและประณามไม่หยุด แต่ประเทศสหรัฐฯกลับแสดงท่าทีสนับสนุนแผนการปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่ทะเล เนื่องจากความต้องการทางยุทธศาสตร์ของตน ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นดำเนินการกระทำที่ผิด การที่ฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายสหรัฐฯจับมือทำความผิดร่วมกัน ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายคือ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของมนุษยชาติ
(Yim/Zi)