‘สี จิ้นผิง’แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 5

2022-02-18 08:50:48 | CMG
Share with:

ค.ศ. 2021 เป็นปีที่ 9 ที่นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรครัฐบาลใหญ่ที่สุดในโลก ได้เข้าสู่การฉลองวันเกิดครบรอบ 100 ปี มีพรรคการเมืองเพียงไม่กี่พรรคในโลกที่ก่อตั้งขึ้นเป็นเวลานานและเป็นพรรครัฐบาลนานเช่นนี้ ก่อนที่สี จิ้นผิงจะได้รับเลือกเป็นเลขาธิการฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีทีมผู้นำส่วนกลางหลายคน โดยมีนายเหมา เจ๋อตง, นายเติ้ง เสี่ยวผิง, นายเจียง เจ๋อหมิน และนายหู จิ่นเทา เป็นตัวแทนหลัก

สี จิ้นผิงนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าสู่ยุคใหม่และบรรลุเป้าหมายการฟันฝ่าต่อสู้หนึ่งร้อยปีประการแรก ซึ่งก็คือ การสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน หรือ "เสี่ยวคัง" ในทุกด้าน เริ่มดำเนินการตามโครงร่างการสร้างสรรค์ความทันสมัยในยุคใหม่อย่างเต็มพลัง พยายามย่างเข้าสู่กระบวนการใหม่แห่งการบรรลุเป้าหมายการฟันฝ่าต่อสู้หนึ่งร้อยปีประการที่สองเพื่อฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งใหญ่แห่งประชาชาติจีน

สี จิ้นผิงเป็นแกนนำสำคัญในการควบคุมแนวโน้มทางประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาจะนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญท่ามกลางโอกาสและความท้าทายอย่างไร เขาจะนำจีนกลับสู่ศูนย์กลางเวทีโลกได้อย่างไรและจะมีผลกระทบอย่างไร ประเด็นเหล่านี้ได้รับความสนใจเช่นเดียวกับเมื่อครั้งแรกที่เขาเป็นเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว

เมื่อสื่อจีนและต่างประเทศรายงานถึงสี จิ้นผิง มักระบุว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และมีการปฏิบัติที่กล้าหาญเด็ดขาด เป็นคนที่มีความคิดและความรักลึกซึ้ง เป็นคนที่สามารถสืบทอดมรดกและกล้าสร้างนวัตกรรม เป็นคนที่มองในภาพรวมอย่างถูกต้องและคล่องตัวในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เป็นคนที่ฟันฝ่าต่อสู้ตลอดและบังคับตนเองได้เป็นอย่างดี ตลอดจนเป็นคนที่ถ่อมตัวแต่ไม่กลัวความยากลำบาก

‘สี จิ้นผิง’แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 5

ผู้นำประเทศใหญ่ที่รักประเทศชาติ

นักวิชาการตุรกีคนหนึ่งกล่าวว่า ภายใต้การนําของสี จิ้นผิง จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก และการมีส่วนร่วมของจีนในทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจหรือทางการทูตนั้นล้วนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก "ตอนนี้เราได้เห็นการก่อรูปขึ้นของประเทศมหาอำนาจระดับโลก"

นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า "ทุกสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำนั้นล้วนเพื่อแสวงหาความสุขให้กับประชาชนจีน แสวงหาการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองแก่ประชาชาติจีน และแสวงหาสันติภาพและการพัฒนาให้กับมนุษยชาติ"

นายสี จิ้นผิงเยือนต่างประเทศ 41 ครั้งใน 9 ปี โดยเดินทางถึง 69 ประเทศ หากไม่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เขาคงจะเยือนต่างประเทศมากกว่านี้ เขากล่าวว่าการใช้เวลามากขนาดนี้เพื่อเยือนต่างประเทศในแต่ละครั้งนั้นดูเหมือนเป็นเรื่อง "ฟุ่มเฟือย" แต่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อใช้เวลาให้เต็มที่กิจกรรมเยี่ยมเยือนของเขาบางครั้งดำเนินต่อเนื่องจนถึงเที่ยงคืน เขาเคยผ่านเวลาวันเกิดของเขาในระหว่างการเยือนต่างประเทศมาแล้วด้วย

ระหว่างเปิดการประชุมสุดยอดปักกิ่งของฟอรัมความร่วมมือจีน-แอฟริกาในปี 2018 นอกจากการเข้าร่วมหรือเป็นประธานการประชุมสุดยอดแล้ว สี จิ้นผิงยังได้เข้าร่วมกิจกรรมพหุภาคีหรือทวิภาคีเกือบ 70 ครั้ง ได้สร้างสถิติการพบปะกับผู้นำต่างประเทศของผู้นำจีนในฐานะเจ้าภาพ

ผ่านกิจกรรมเหล่านี้และกิจกรรมออนไลน์ในภายหลัง เขาประกาศกับโลกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังปฏิบัติภารกิจแห่ง "การสร้างคุณูปการใหม่มากยิ่งขึ้นแก่มนุษยชาติ" พร้อมทั้งกล่าวว่า "โลกมีขนาดใหญ่เช่นนี้และมีปัญหามากมายเช่นนี้ ประชาคมระหว่างประเทศรอคอยที่จะได้ยินเสียงจีนและเห็นแนวทางของจีน จีนจำเป็นต้องมีส่วนร่วมด้วย"

ในมุมมองของเขาตั้งแต่มีความหลายขั้วบนโลก โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ความเป็นสังคมสารสนเทศ ไปจนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชะตากรรมของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเวลาเดียวกันสังคมมนุษย์กำลังเผชิญกับความท้าทายอันหนักหน่วงจากความขาดดุลในหลายด้านอันได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ ความไว้วางใจ การพัฒนา และสันติภาพ ด้วยเหตุนี้จึงควรผลักดัน "การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาติ" แนวคิดที่นายสี จิ้นผิงเสนอขึ้นในปี 2013 นี้สะท้อนถึงมุมมอง จุดยืน และการแสวงหาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อโลกปัจจุบัน

“ประชาคมระหว่างประเทศควรใช้ความพยายามด้านความเป็นหุ้นส่วน โครงสร้างความปลอดภัย การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนอารยธรรม การสร้างสรรค์ระบบนิเวศ ฯลฯ” สี จิ้นผิงเรียกร้องให้ทั่วโลกใช้ปฏิบัติการเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์นี้ เขาได้อ้างคำพูดที่มีชื่อเสียงว่า “การคิดวางแผนใดต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ของคนทั้งโลก”

‘สี จิ้นผิง’แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 5

บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวว่า แนวคิดประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาตินั้นสืบทอดอุดมการณ์ "สังคมลัทธิคอมมิวนิสต์" แห่งลัทธิมาร์กซ์ รับแนวคิด "ความสามัคคีกลมกลืน" ในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมที่ยอดเยี่ยม และถือการบรรลุความสุขของมนุษยชาติทั้งมวลเป็นเป้าหมายขั้นสุดท้าย แนวคิดนี้เป็นข้อเสนอระดับนานาชาติทรงอิทธิพลที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเสนอขึ้นอีกครั้ง ต่อจากทฤษฎี "สามโลก" ที่เสนอโดยเหมา เจ๋อตง และแนวคิด "สันติภาพและการพัฒนา" ซึ่งเป็นสองประเด็นหลักของโลกปัจจุบันที่เสนอโดยเติ้ง เสี่ยวผิง แนวคิดนี้รณรงค์ให้มนุษยชาติทั้งมวลร่วมมือกันก้าวไปข้างหน้า ร่วมกันแสวงหาการพัฒนา และฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองด้วยกัน จึงได้รับการตอบสนองและสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ

ตั้งแต่แนวคิด "การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาติ" ถูกเสนอขึ้นจนถึงปัจจุบัน จากการประมวลและวิเคราะห์มุมมองของสื่อสำคัญและคลังสมองระหว่างประเทศพบว่า ประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงสื่อมวลชนในสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ด้วยนั้น ต่างได้ตระหนักโดยทั่วไปว่า แนวคิดดังกล่าวมีความหมายเชิงชี้นำและคุณค่าในการใช้งานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อเดือนมกราคม 2017 สี จิ้นผิง กล่าวปาฐกถานำในหัวข้อ "ร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาติ" ที่อาคาร "วังประชาชาติ" (palace of nations) ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเสียงปรบมือดังขึ้นมากกว่า 30 ครั้งระหว่างการกล่าวปาฐกถาที่กินเวลา 47 นาทีของเขา โดยเมื่อพูดถึงประเด็นสำคัญได้รับเสียงปรบมือเกือบประโยคละครั้ง

นักวิชาการชาวฝรั่งเศสมองว่า การขับเคลื่อนการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาตินั้นถือเป็นหนึ่งในความคิดเชิงปรัชญาสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

สี จิ้นผิงเสนอให้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ที่ถือความร่วมมือและชัยชนะร่วมกันเป็นแนวคิดหลัก ทั้งยังริเริ่มส่งเสริมแนวคิดใหม่ด้านการบริหารจัดการทั่วโลกอันได้แก่ การร่วมปรึกษาหารือ การร่วมสร้างสรรค์ และการร่วมแบ่งปัน

"การที่ระเบียบระหว่างประเทศและระบบการบริหารจัดการทั่วโลกแบบไหนถือว่าดีสำหรับโลกและประชาชนของทุกประเทศนั้น ควรให้ประชาชนจากทุกประเทศร่วมปรึกษาหาหรือ ไม่ควรกำหนดโดยเพียงประเทศเดียวหรือกลุ่มคนส่วนน้อย" สี จิ้นผิงกล่าว

เขาขับเคลื่อนการสร้างกรอบความสัมพันธ์ประเทศมหาอำนาจที่มีความมั่นคงโดยรวมและพัฒนาอย่างสมดุล รวมทั้งเคยกล่าวหลายครั้งว่าขอเพียงแต่ยืนหยัดการแลกเปลี่ยนและปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจก็สามารถหลีกเลี่ยง “กับดักของทิวซิดิดีส” (Thucydides's Trap) ได้ สี จิ้นผิงและประธานาธิบดีปูตินได้ยกระดับความสัมพันธ์จีน-รัสเซียให้เป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านในยุคใหม่ เขาได้พูดคุยกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ และมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จีน-สหรัฐฯ จะไม่เผชิญหน้าและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เขาเสนอว่าจีน-ยุโรปเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันไม่ใช่คู่แข่งในเกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์

เขาผลักดันการลงลึกกระชับความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศกำลังพัฒนา นำไปสู่สถานการณ์ใหม่แห่งการร่วมมือกันก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาร่วมกัน การเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2013 และหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัยในปี 2018 สี จิ้นผิงต่างก็เดินทางไปยังทวีปแอฟริกา

ในช่วงทศวรรษ 1950 เนื่องจากการปิดล้อมของประเทศตะวันตก มีเพียงไม่กี่สิบประเทศที่สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน จนถึงปลายปี 2019 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นถึง 180 แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มี 5 ประเทศจากภูมิภาคอเมริกากลางและแปซิฟิกได้สถาปนาหรือฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน

‘สี จิ้นผิง’แกนนำที่ทุกคนเลื่อมใสและไว้วางใจ ตอนที่ 5

“เพื่อนของเราอยู่ทั่วโลก!” สี จิ้นผิงกล่าว

เมื่ออังเกลา แมร์เคิล กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี สี จิ้นผิงได้พบปะกับเธอผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล โดยเรียกเธอว่า "เพื่อนเก่าของประชาชนจีน" ทั้งยังเล่าย้อนถึงความสนใจในหม้อไฟรสเผ็ด “หม่าล่าทั่ง” ของเธอด้วย

“ประชาชนจีนให้ความสำคัญกับไมตรีจิตมิตรภาพ เราจะไม่มีวันลืมเพื่อนเก่า ประตูของจีนเปิดกว้างให้ท่านเสมอ” สี จิ้นผิงกล่าว

สี จิ้นผิงเสนอข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" เมื่อปี 2013 นับจนถึงเดือนสิงหาคม 2021 มีถึง 172 ประเทศและองค์การระหว่างประเทศได้ลงนามเอกสารความร่วมมือที่เกี่ยวข้องมากกว่า 200 ฉบับกับจีน ตามรายงานการวิจัยของธนาคารโลก การร่วมสร้าง "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" จะช่วยให้ประชาชน 7.6 ล้านคนในประเทศที่เกี่ยวข้องหลุดพ้นจากความยากจนสุดขีด และ 32 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนระดับปานกลาง ในระหว่างการเยือนต่างประเทศ นายสี จิ้นผิงยังได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการเชิงสัญลักษณ์ของ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" โดยเฉพาะด้วย เช่น ท่าเรือไพรีอัสในกรีซ โรงงานผลิตเหล็กกล้าในเซอร์เบีย และนิคมอุตสาหกรรมจีน-เบลารุสในประเทศเบลารุส เป็นต้น

ปี 2020 สี จิ้นผิงประกาศว่า จีนจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุการปล่อยคาร์บอนถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางของคาร์บอนภายในปี 2060 เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งนี้ทำให้ชาวตะวันตกจำนวนไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจเพราะแม้แต่ประเทศของพวกเขาเองยังไม่สามารถทำได้

“โลกควรขอบคุณจีนที่ได้สร้างคุณูปการต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวว่า เมื่อ 4 ปีก่อนสี จิ้นผิงยังได้ประกาศว่าจีนสนับสนุน “ข้อตกลงปารีส” ซึ่งถือเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุด หากปราศจากจุดยืนที่ชัดเจนและแน่วแน่ของจีน “ข้อตกลงปารีส” ก็คงจะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

สี จิ้นผิงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้พิทักษ์ ผู้ผลักดัน และผู้นำพหุภาคีนิยมและโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา สีจิ้นผิงได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญ 3 ครั้งในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เขายังเป็นประมุขแห่งชาติจีนคนแรกที่เข้าร่วมฟอรัมดาวอสด้วย

"การดำเนินลัทธิการคุ้มครองนั้นเสมือนการขังตัวเองไว้ในบ้านสีดำ ซึ่งดูเหมือนจะได้หลบเลี่ยงลมและฝน แต่ก็แยกขาดจากแสงแดดและอากาศ ผลของสงครามการค้ามีแต่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้และบาดเจ็บทั้งคู่เท่านั้น” สี จิ้นผิงกล่าวว่า เราควรยืนหยัด "การจับมือ" หาใช่ "การปล่อยมือ" และควรยืนหยัด "การรื้อกำแพง" หาใช่ "การสร้างกำแพง" ไม่

จีนได้กลายเป็นพลังที่ขาดเสียไม่ได้ในการแก้ไขปัญหาที่เป็นประเด็นร้อนระดับโลกและระดับภูมิภาค ปัญหาเหล่านี้ครอบคลุมถึงการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การต่อต้านการก่อการร้าย, การป้องกันการแพร่กระจายนิวเคลียร์, การลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน, การผลักดันการค้าที่เป็นธรรม และการดำเนินปฏิบัติการผดุงสันติภาพ เป็นต้น เมื่อไม่นานมานี้การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างเร่งรีบของสหรัฐฯ นั้น ทำให้สถานการณ์ความมั่นคงในท้องถิ่นทวีความตึงเครียดเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง สี จิ้นผิงได้หารือกับวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และพบปะกับผู้นำประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล เพื่อผลักดันให้อัฟกานิสถานคลี่คลายสถานการณ์จากความปั่นป่วนวุ่นวายสู่ความมั่นคง และเดินบนหนทางแห่งการฟื้นฟูประเทศอย่างสันติโดยเร็วที่สุด

หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สี จิ้นผิงได้เสนอว่า ประชาคมระหว่างประเทศต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขและสามัคคีร่วมมือกัน ทั้งได้สั่งการให้ส่งมอบความช่วยเหลือด้านวัสดุป้องกันโรคระบาดแก่กว่า 150 ประเทศและ 14 องค์การระหว่างประเทศ ทั้งยังได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จำนวน 37 ทีมไปยัง 34 ประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ สี จิ้นผิงได้ประกาศให้วัคซีนที่วิจัยและพัฒนาขึ้นเองของจีนเป็นผลิตภัณฑ์สาธารณะแก่ประชาคมระหว่างประเทศ ตลอดปี 2021 จีนทุ่มเทส่งมอบวัคซีน 2,000 ล้านโดสแก่ทั่วโลก จีนยังตัดสินใจบริจาคเงินจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่โครงการโคแวกซ์ (COVAX) ด้วย

"ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง จีนมีบทบาทสำคัญที่หาใครเทียบเคียงได้ยากบนเวทีโลก" อาริฟ อัลวี ประธานาธิบดีปากีสถานกล่าว

สี จิ้นผิงเล่าให้ประชาคมโลกฟังว่าประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 1 ได้ก้าวจาก “ความยากจนและว่างเปล่า” สู่ “การมีอาหารอิ่มท้องและเครื่องนุ่งห่มอุ่นกาย” กระทั่งสู่ “การมีกินมีใช้รอบด้าน” อย่างไร โดยกล่าวว่า ลำพังเพียงสิ่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการสร้างคุณูปการแก่มนุษยชาติทั้งมวลด้วย

"จำนวนประชากรที่ได้รับการบรรเทาความยากจนในจีนครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน จีนได้บรรลุเป้าหมายการลดความยากจนตาม ‘วาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ ปี 2030’ ก่อนกำหนดเวลาถึง 10 ปี" สี จิ้นผิง กล่าวว่า แต่จีนยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาใหญ่ที่สุดในโลก

เขาอธิบายว่าจีนต้องการสันติภาพเสมือนคนต้องการอากาศและการเจริญเติบโตของสรรพสิ่งต้องการแสงแดด “ในอดีตเราไม่เคยและในอนาคตเราก็จะไม่รุกรานหรือรังแกผู้อื่น เราไม่แสวงหาการครองความเป็นเจ้า" นอกจากนี้เขายังเน้นว่า "ประชาชนจีนจะไม่ยอมให้อิทธิพลจากภายนอกใดมารังแก กดขี่และข่มเหงเราอย่างเด็ดขาด”

ในที่ประชุมสุดยอดแห่งการประชุมสมัชชาภาคี “อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” ครั้งที่ 15 เมื่อเดือนตุลาคม 2021 สี จิ้นผิงได้เสนอการสร้าง "ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของสิ่งมีชีวิตบนโลก" ซึ่งทำให้เกิดเสียงตอบรับอย่างกว้างขวางและการตอบสนองอย่างแข็งขันจากประชาคมระหว่างประเทศ

"กัปตันที่มีประสบการณ์โชกโชน" เมื่อพูดถึงความประทับใจที่มีต่อประธานาธิบดีสี มาเรีย เฟอร์นันดา เอสปิโนซา การ์เซส ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 73 กล่าวว่า จากข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" สู่การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งมนุษยชาติ ไปจนถึงการริเริ่มและขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการปัญหาระหว่างประเทศด้วยแนวคิดพหุภาคีนิยม ประธานาธิบดีสีได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่

TIM/LU

  • เสียงข่าวประจำวัน (18-11-2567)

  • สานสัมพันธ์ไทย-จีน (18-11-2567)

  • เสียงคุยกันวันละประเด็น (18-11-2567)

  • เสียงข่าวประจำวัน (17-11-2567)

  • เกาะกระแสจีน (16-11-2567)

陆永江