วันที่ 9 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฏรของสหรัฐฯ ได้ลงคะแนนเสียงผ่านมติเกี่ยวกับการห้ามนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินของรัสเซีย ซึ่งเป็นการคว่ำบาตรที่เข้มงวดที่สุดที่สหรัฐฯ ที่ใช้กับรัสเซียอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่เกิดวิกฤตยูเครนเป็นต้นมา พร้อมๆ กับผลลบจากการใช้มาตรการคว่ำบาตรที่มากเกินไปที่แสดงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ยุโรปจึงกลายเป็นผู้ได้รับความเสียหายมากที่สุดรายหนึ่งจากการปะทะในครั้งนี้
ราคาของพลังงานปรับสูงขึ้น ทำให้ประชาชนยุโรปตกอยู่ในภาวะลำบาก อุปทานธัญหารก็เผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นกัน ปัญหาความมั่นคงมีความรุนแรงยิ่งขึ้น รัสเซียและยูเครนเป็นประเทศเพื่อนบ้านของยุโรปจะย้ายไปที่อื่นไม่ได้ มีแต่สถานการณ์ยูเครนที่มีเสถียรภาพ จึงจะป้องกันความมั่นคงของยุโรปไว้ได้ ส่วนสหรัฐฯ ที่ยั่วยุให้เกิดวิกฤตยูเครนครั้งนี้อยู่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร ยากที่จะได้รับผลกระทบ แต่ถือโอกาสนี้ใช้กลุ่มอุตสาหกรรมทหาร(Military industrial complex;War industry complex) สร้างผลกำไรและกดดันรัสเซีย ควบคุมยุโรป จนได้รับค่าต่อรองมากขึ้นเพื่อรักษาความเป็นใหญ่ถึงเวลาแล้วที่ยุโรปจะต้องก้าวออกจากกับดักสหรัฐฯ และเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์
Bo/LR/Cui