การตื่นเช้านี้จะทำให้เรารู้สึกสดชื่น ที่สำคัญช่วยให้เราหนีจากปัญหารถติด ทำให้เราไปถึงที่ทำงาน หรือโรงเรียนได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ หากว่าเรามีนัดกับใคร การตื่นเช้าจะช่วยให้ เราสามารถไปถึงก่อนเวลานัด ทุกคนรู้ดีว่าการไปสายจากเวลาที่นัดไว้ ทำให้เสียภาพพจน์ การไปตรงเวลาจะทำให้คนยอมรับ และการไปก่อนเวลาจะทำให้คนชื่นชมเลยทีเดียว และยังทำให้มีเวลาเตรียมตัวก่อนการประชุม การเรียน ฯลฯ อีกด้วย

วิธีการฝึกให้ตื่นเช้าก็ไม่ยากนัก หนึ่ง อย่าเปลี่ยนเวลานอนอย่างสุดคั่ว ลองตื่นให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสัก 15 นาทีเป็นเวลา 2-3 วันก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยตื่นให้เร็วขึ้นอีก 15 นาที ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถตื่นได้ตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้ สอง นอนให้เร็วกว่าเดิมสักนิด หลายๆ คนคงจะชินกับการนอนดึกๆ เนื่องจากติดทีวี หรือไม่ก็ติดอินเตอร์เน็ต แต่การกระทำเช่นนี้ควบคู่ไปกับการตื่นเช้ากว่าเดิม จะทำให้ไม่ไหว สุดท้าย อาจจะถึงขั้นต้องกลับไปเริ่มต้นฝึกตื่นเช้ากันใหม่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ง่วง ดิฉันขอแนะนำให้ลองเข้านอนไปก่อน และถ้ายังไม่หลับ ก็ให้อ่านหนังสือไปด้วย แล้วจะพบว่า มันช่วยให้หลับง่ายขึ้น

ผู้ที่ตื่นเช้าสามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการนอนดึก จะมีสุขภาพแข็งแรงกว่า ผิวพรรณดีกว่า ขอบตาไม่คล้ำ การตื่นเช้ายังมีประโยชน์ต่อสมอง และประสาทของเรา ทำให้เรามีปัญญาเฉียบแหลม การสำรวจพบว่า ผู้ที่ตื่นเช้าส่วนใหญ่มีอุปนิสัยที่คบง่าย ว่าง่าย ใจกว้าง มีระเบียบวินัย น่าเชื่อถือ ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั้งหลาย จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

ผู้มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จในโลกธุกิจหลายคนนิยมตื่นเช้า อย่างเช่น นายแจ็ค ดอร์ซี่ย์ (Jack Dorsey) ผู้ก่อตั้ง Twitter ปกติจะตื่นตี 5 ครึ่งทุกเช้า แล้วทำสมาธิและจ็อกกิ้งเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง นายทิม อาร์มสทรอง (Tim Armstrong) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอเมริกาออนไลน์（AOL）ตื่นตี 5 นายทิม คุ๊ก (Tim Cook) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแอปเปิล มักจะปรากฏตัวที่ห้องออกกำลังกายตอนตี 5 อย่างตรงเวลา ผู้ใต้บังคับบัญชาของทิม คุ๊ก มักจะได้รับอีเมลล์จากเขาตอนตี 4 ครึ่ง นายเจฟฟ์ อิมเมลต์ (Jeff Immelt ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทจีอี（GE）ปกติตื่นตี 5 ครึ่ง นายเซอร์จิโอ มาร์ชิโอนี่ (Sergio Marchionne) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเฟียต（Fiat）และไครสเล่อร์（Chrysler）เป็นผู้ที่มีทั้งสัญชาติแคนาดาและอิตาลี เขาตื่นตี 3 ครึ่งซึ่งคนอื่นยังคงฝันอยู่ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงคนหนึ่งเผยว่า ตอนที่ชาวอิตาลีหยุดพัก นายเซอร์จิโอจะไปทำงานที่สหรัฐฯ ตอนที่ชาวอเมริกันหยุดพัก นายเซอร์จิโอจะไปทำงานที่อิตาลี นายริชาร์ด บรานสัน (Richard Branson) ผู้ก่อตั้งบริษัทเวอร์จินกรุป （Virgin Group）ตื่นเวลา 5:45 น. แม้หยุดพักบนเกาะส่วนตัว เขาก็ตื่นเวลานี้ เขาจะนอนโดยไม่ปิดม่านหน้าต่าง เพื่อให้แสงแดดช่วยปลุกเขาในวันรุ่งขึ้น นายบ๊อบ อิเก้อร์ (Bob Iger) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดิสนี่ปกติตื่นตี 4 ครึ่ง จะใช้เวลาช่วงเช้าอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ และจัดกิจการต่าง ๆ อย่างสบายๆ นายโฮวาร์ด ชุลช์ (Howard Schultz) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสตาร์บัคปกติจะเริ่มวันใหม่โดยขี่จักรยานกับภรรยา และจะถึงห้องทำงานก่อน 6โมงเช้า นางอินตรา นูยี่ (Indra Nooyi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแป๊ปซี่ (Pepsi Co) ปกติตื่นตี 4 บอกว่า "การนอนเป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ดิฉันไม่เคยได้รับของขวัญชิ้นนี้เลย" เพราะว่า เธอมักจะปรากฏตัวในห้องทำงานก่อน 7 โมงเช้า

จีนมีสุภาษิตว่า "เจ่าฉี่ซานกวง หว่านฉี่ซานฮวง" ซึ่งเรียกร้องให้ผู้คนทั้งหลายตื่นเช้า เมื่อตื่นเช้าแล้ว จะทำกิจวัตรได้สบายๆ สามารถไปถึงที่ทำงานและเริ่มทำงานก่อนคนอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปอย่างราบรื่นและสุขุมรอบคอบ อีกทั้งมีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพ แต่นอนดึกตื่นสายจะทำให้เรางงงวย มึนเมา คนโบราณยังบอกด้วยว่า "ยี่รื่อจือจี้ไจ้อวี๋เฉิน ยี่เหนียนจือจี้ไจ้อวี๋ชุน" ช่วงสำคัญของวันหนึ่งขึ้นอยู่ที่ตอนเช้า ช่วงสำคัญของปีหนึ่งขึ้นอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ เนื่องในโอกาสที่ปีระกาจะมาถึงนี้ ขอให้เรานัดกันตื่นเช้าในปีใหม่ และให้การตื่นเช้ากลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้ชีวิตของเรามีประสิทธิภาพและมีคุณค่ามากขึ้น