สิ้นปีนี้ ประโยคที่ว่า"เป็นยังไงบ้าง ไปดูเรื่อง "ไท่จ่ง" มารึยัง"กำลังกลายเป็นคำถามยอดฮิตมากที่สุดที่ใช้ถามไถ่เพื่อนฝูงเมื่อพบปะกัน จากกระแสที่กำลังมาแรงของภาพยนตร์แนวตลกเรื่อง "ไท่จ่ง" หรือ "ลอสต์ อิน ไทยแลนด์" (泰囧—Lost in Thailand)" ของ 3 นักแสดงจีนชื่อดัง "สวีเจิง หวังเป่าเฉียง และหวงปั๋ว" และเป็นผลงานชิ้นแรกของนักแสดง สวีเจิงในฐานะผู้กำกับการแสดงด้วย ทั้งๆ ที่คำว่า "囧""jiong (เสียง 3)" หมายถึง ความรู้สึกที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างด้วยต้นทุน เพียง 30 ล้านหยวน หรือประมาณ 150 ล้านบาทเท่านั้น แต่ตั้งแต่เริ่มเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมเป็นต้นมา นอกจากสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมแล้ว ก็ยังสร้างรายได้มหาศาลให้อย่างคาดคิดไม่ถึง คือ สร้างรายได้เกิน 100 ล้านหยวนหลังจากเปิดตัวมา 3 วัน เกิน 200 ล้านหยวนในวันที่ 4 และเกิน 300 ล้านหยวนในวันที่ 5 หลังจากนั้นรายได้ก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ คือ ถึง 450 ล้านหยวนในวันที่ 8 และสร้างรายได้ 760 ล้านหยวนตั้งแต่เปิดตัวมา 14 วัน กลายเป็นภาพยนตร์จีนที่สร้างรายได้มากที่สุดจนถึงขณะนี้ คาดการณ์ว่า หนังเรื่องนี้อาจสร้างรายได้ถึง 1,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จึงน่าจะเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย เพราะทำให้คนจีนรู้จักและสนใจมาเที่ยวไทย โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
ภาพยนตร์ "ไท่จ่ง" ได้ถ่ายทำตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในไทยทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต โดยแฝงมุกตลก ความสนุกสนานไว้ตลอดเรื่อง ขณะที่ภาพยนตร์กำลังโด่งดัง จึงเกิดเป็นกระแสแบบปากต่อปากไปทั่วประเทศจีน ทำให้ชาวจีนอยากมาสัมผัสบรรยากาศในเมืองไทยตามภาพยนตร์ ทั้งการปล่อยโคมลอย นั่งรถตุ๊กตุ๊ก Spaไทย และชมการแสดงของช้าง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสถึงปีใหม่นี้ ขณะที่บางคนวางแผนจะไปในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีน
ภาพยนตร์ "ไท่จ่ง" ไม่เพียงแต่สร้างรายได้ก้อนมหึมาให้กับบริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ของจีนเท่านั้น หากยังเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย เพราะ จีนถือเป็นประเทศเป้าหมายหลักของภาคการท่องเที่ยวไทย ภาพยนตร์จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนสนใจไปเที่ยวทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าวมากขึ้น
ตามปกติ คนจีนนิยมไปกรุงเทพฯ หรือเที่ยวแถบชายฝั่งทะลเป็นหลัก ขณะนี้บริษัททัวร์หลายๆ แห่งได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ได้เปิดเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งใช้เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก แนะนำแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรมที่สวยสดงดงาม กระจายไปถึงจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน หรือไม่ก็เที่ยวแถบจังหวัดลำปาง พะเยา แพร่ น่าน ซึ่งยังมีกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยวที่ยังสมบูรณ์ปรากฏให้เห็นอยู่ นายเกษียร วัฒนเชาวน์พิสุทธิ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีนมองว่า "กระแสภาพยนตร์ครั้งนี้น่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันสัดส่วนคนจีนที่มาเที่ยวไทย 2.5 ล้านคน เที่ยวอยู่กรุงเทพฯและพัทยากว่า 60% ภูเก็ตเกือบ 30% ที่เหลือเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงเชียงใหม่ที่คิดว่ามีคนจีนไปเที่ยวไม่เกิน 7% ของจำนวนดังกล่าว จึงมองว่ามีโอกาสเติบโตได้อีกมาก"
