เป็นประจำครับที่จะมีนักศึกษา นักธุรกิจ หรือแม้แต่เหล่าข้าราชการไทยหลั่งไหลแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนที่นี่ ที่ทำงานของผมแห่งนี้ อาจเพราะด้วยความผูกพัน ความใกล้ชิดระหว่างสถานีวิทยุซีอาร์ไอกับเมืองไทยหลายต่อหลายสิบปี เลยทำให้สถานที่แห่งนี้หากจะเรียกว่าเป็นชุมชนไทยขนาดย่อม ๆ ก็ดูจะไม่ผิดนัก บางวันโชคดีก็จะมีผู้เชี่ยวชาญไทยใจแม่น้ำอีกท่านหนึ่งคอยทำกับข้าวกับปลามาเลี้ยงที่ทำงานอยู่เสมอ ความถ้อยทีถ้อยอาศัยและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในที่ทำงานชั้น 9 แห่งนี้ ใครได้มาก็คงจะรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกเหมือนอยู่เมืองไทยไปไม่ต่างจากผมเป็นแน่ ๆ
ล่าสุดก็มีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งแวะมาเยี่ยมบ้านของเราเมื่อเดือนก่อนครับ เขาคนนี้ได้รับทุน CSC จากรัฐบาลจีนเพื่อมาศึกษาต่อยังสาขาการสื่อสารระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยการสื่อสารแห่งชาติจีน กรุงปักกิ่ง ผมได้โอกาสก็เลยขอเวลาอันมีค่าของพี่ท่านมาสัมภาษณ์สักเล็กน้อย เรามาทำความรู้จักกันเลยครับ
แนะนำตัวเล็กน้อยพอสังเขป?
"สวัสดีครับ ผมนพคุณ สุนทรหงส์ ตอนนี้มาศึกษาต่อที่ปักกิ่งได้เดือนกว่า ๆ แล้วครับ ตอนอยู่ไทยก็ทำงานเป็นข้าราชการอยู่กระทรวงไอซีทีตั้งแต่ปี 2549 ครั้งแรกก็อยู่หน้าห้องที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ หลังจากนั้น 2 ปี ก็ย้ายมาอยู่สำนักกิจการระหว่างประเทศ ล่าสุดปี 2554 ก็มาอยู่ที่สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติจนปัจจุบันครับ โดยงานหลักๆ ของ สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติก็จะมีอย่างเช่นการดูแลสัญญาสัมปทานดาวเทียม ความร่วมมือกิจการอวกาศของไทย หรือถ้าระหว่างไทย-จีนเองก็มีความร่วมมือในองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก หรือ APSCO ที่กรุงปักกิ่ง หลัก ๆ เลย APSCO จะมีสมาชิกอยู่ 8 ประเทศ โดยจีนเป็นประเทศหลักที่ดูแลตรงนี้
ส่วนทุนที่ได้มาเป็นทุนของรัฐบาลจีนที่เวียนจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่ทางกระทรวงเห็นว่าเกี่ยวข้องก็มี กระทรวงไอซีที สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงศึกษาธิการ ผมก็สมัครแล้วก็โชคดีที่ได้รับคัดเลือกมาศึกษาต่อที่นี่เป็นเวลา 1 ปีครับ"
การเรียนการสอนของที่จีนกับทุนที่ได้มาเป็นอย่างไรบ้าง?
"หลักสูตรการเรียนการสอนที่ผมศึกษาอยู่นี้เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ ความยากจะอยู่ตรงที่เรื่องของเวลามากกว่าครับ เพราะเวลาที่จำกัด 1 ปีรวมถึงการทำวิทยานิพนธ์ด้วย ทำให้ต้องดำเนินการค่อนข้างเร่งรีบและต่อเนื่อง มาถึงได้เดือนเศษ ๆ ตอนนี้ก็ต้องเสนอหัวข้อแล้ว ซึ่งก็มี 2-3 หัวข้อที่ผมสนใจและเสนอไป เป็นเรื่องของพัฒนาการไอซีทีในไทย การศึกษาบริบทที่เกี่ยวข้องกับองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งก็คงจะใช้ APSCO เป็นกรณีศึกษา ตรงนี้ก็ต้องดูว่าหัวข้อไหนจะถูกในกรรมการ"
ในฐะนะเป็นนักสื่อสารมวลชนและทำงานด้านสื่อมาโดยตลอด คิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่าทุกคนสามารถเป็นสื่อมวลชนได้?
"โลกปัจจุบันใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ เป็นเรื่องที่จะว่าไปแล้วก็เป็นได้ทั้งทางบวกและลบ สิ่งที่ควรโฟกัสว่านอกจากจะมีความรู้ด้านการสื่อสารแล้วก็คือควรจะต้องมีหลักจริยธรรมสื่อด้วย ผมมองว่าเราควรต้องรู้ในสิ่งที่จะสื่อสารออกไป ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับบริบทและสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคมด้วยนะ เพราะบางบริบทที่ต่างกันก็เอามาเปรียบกันไม่ได้เลยซะทีเดียว"
มาอยู่ปักกิ่งได้เดือนกว่า ๆ มองว่าการสื่อสารมวลชนของจีนรอบ ๆ ตัวเรา เป็นอย่างไร?
"ที่เห็นชัด ๆ เลยคงเป็นแคมเปญ "ไชน่า ดรีมส์" ที่ทางจีนโปรโมทค่อนข้างเยอะ ส่วนตัวมองว่าองค์กรด้านสื่อสารมวลชนจีนมีพัฒนาการไปในทิศทางแบบก้าวกระโดด แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมขอยกกรณีศึกษาที่อาจารย์ในมหา'ลัยยกให้ฟังถึงสื่อมวลชนบางแขนงในชนบทของจีน ที่บางครั้งยังขาดเรื่องของจริยธรรมคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่น มีหลุมอยู่ตรงถนน สื่อฉบับนั้นรู้ว่าตรงนั้นเป็นบ่อ มีน้ำท่วมขังและอันตราย แต่ก็ยังปล่อยให้มีคนมาตกเพื่อให้ได้ภาพแล้วเอาไปขาย เรื่องเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่ต้องขบคิดและอธิบายว่าสื่อที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเชิงพาณิชย์หรือเปล่า"
1 ปีในจีน มีความตั้งใจเป็นพิเศษไหมว่าจะสื่อสารเรื่องอะไรในจีนให้คนไทยได้รับรู้?
"...ก็พยายามที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งการเรียนในห้องเรียน รวมถึงวัฒนธรรมของชาวจีนในนอกห้องเรียน อยากศึกษาว่าวิถีชีวิตจริง ๆ ของคนจีนเป็นอย่างไร แต่การที่จะเรียนรู้ได้ก็ต้องมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร เข้าใจภาษาที่เขาใช้ ศึกษาแง่มุมให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ให้เกิดประโยชน์ทางการทำงานหรือแม้แต่ในอนาคต เพราะจีนไม่ได้มีความร่วมมือกับไทยแค่ภาคไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตก็จะมีความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศเกิดขึ้นอีกมากมายในภาคราชการ 1 ปีนี้ผมก็จะพยายามเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ และเรียนให้จบตามที่กำหนดไว้ (หัวเราะ)"
จะบอกคนจีนเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร?
"ในฐานะที่เป็นคนไทยและอยู่ในภาครัฐ สิ่งที่อยากบอกคือ ไทยเราเองมีสังคมที่อบอุ่นและเป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม ภาพนี้ตัวผมเองยังคิดว่ายังคงอยู่ในสายตาของคนจีนอยู่เสมอ หลายประสบการณ์ที่ผ่านมาพอชาวจีนเห็นว่าเราเป็นคนไทยก็แสดงความเป็นมิตรและมีน้ำใจมาโดยตลอด ก็อยากให้คนจีนรักคนไทยเหมือนพี่รักน้องแบบนี้ตลอดไป"
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้สนทนาพูดคุยกับคุณปุ้ย นพคุณ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจที่มีอีกหนึ่งคนไทยแวะเวียนมาหาที่บ้านชั้น 9 แห่งนี้นะครับ คนไทยคนไหนที่เผลอผ่านเข้ามาอ่านก็อย่าลืมบ้านชั้น 9 หลังนี้นะครับ แล้วพบกันครับ
กาสะลองส่องจีน ตอน 4.1 สัปดาห์หน้า (ทหารหนุ่มไทยใจกว้าง กับการใช้สื่อใหม่สร้างกองทัพผู้ประกอบการไทยลุยตลาดจีน : ร.ท. อภิธัช เสาะการ )