สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายแอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การปรับสมดุลในเอเชียแปซิฟิคของสหรัฐฯ เข้าสู่ขั้นใหม่ สื่อมวลชนประเทศต่างๆ เห็นว่า ขั้นตอนใหม่ที่ว่านี้มีความหมายเชิงรุกมาก การที่สหรัฐฯ อวดกำลังทหารนั้นไม่มีส่วนช่วยต่อสภาพความมั่นคงโดยรวมของภูมิภาค การกำหนดยุทธศาสตร์เอเชีย-แปซิฟิคของสหรัฐฯ ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายจึงจะมีผลจริง

ตามคำปราศรัยของนายแอชตัน คาร์เตอร์ เนื้อหาสำคัญของยุทธศาสตร์การปรับสมดุลเอเชีย-แปซิฟิคขั้นใหม่นั้นคือ การจัดวางอาวุธระดับสูง พัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตร และผลักดันข้อตกลง TPP นายแอชตัน คาร์เตอร์เน้นว่า การกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นปัจจัยสำคัญทางการเมืองของยุทธศาสตร์การปรับสมดุล เขาได้ระบุถึง "ทิศทางความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศญี่ปุ่น-สหรัฐฯ " ฉบับใหม่ และหวังว่า กองทัพสหรัฐฯ กับกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นจะกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สหรัฐฯ เห็นว่า การลงนามข้อตกลง TPP เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดในยุทธศาสตร์การปรับสมดุลเอเชีย-แปซิฟิค

เหตุใดนายแอชตัน คาร์เตอร์ระบุว่า ยุทธศาสตร์การปรับสมดุลเอเชียแปซิฟิคเข้าสู่ขั้นใหม่ เป็นเพราะว่า สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงที่เกินการควบคุมของสหรัฐฯ สหรัฐฯ กับรัสเซียเป็นปฏิปักษ์กันเนื่องจากวิกฤตยูเครน สถานการณ์ในตะวันออกกลางยิ่งเลวร้ายลงอีก การเจรจรปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านแม้ว่าได้บรรลุกรอบแผนงานแต่อนาคตยังไม่แจ่มใส ถ้าหากสหรัฐฯ ไม่แสดงบทบาทที่เอเชีย-แปซิฟิค ก็จะทำให้ผู้คนเห็นว่า สหรัฐฯ ควบคุมสถานการณ์โลกไม่ได้

นักวิชาการบางคนในสหรัฐฯ เห็นว่า สรุปแล้ว เป้าหมายของยุทธศาสตร์การปรับสมดุลเอเชีย-แปซิฟิคคือรักษาอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ส่วนนักวิชาการเกาหลีใต้เห็นว่า ยุทธศาสตร์นี้เป็นผลจากเป้าหมายที่จะพิทักษณ์เศรษฐกิจ และความมั่นคงของสหรัฐฯ ส่วนนักวิชาการสิงคโปร์เห็นว่า ขั้นใหม่ของยุทธศาสตร์การปรับสมดุลเอเชีย-แปซิฟิคที่น่าสนใจที่สุดก็คือ วางกำลังทหาร และกำลังอาวุธที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค

(In/cici)