หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า จากรายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ในปี 2011-2035 ความต้องการทางพลังงานของเขตอาเซียนคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 80 ดังนั้นเพื่อลดการพึ่งพาอาศัยมากเกินไปต่อพลังงานฟอสซิล (Fossil Energy) จำเป็นต้องสร้างห่วงโซ่สนองพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนยิ่งขึ้น ประเทศอาเซียนกำลังค้นคว้าการใช้พลังงานรีไซเคิลหรือพลังงานอื่นที่ทดแทนได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังงานฟอสซิล "สีน้ำตาล" ที่ยังมีความได้เปรียบทางราคา หนทางพัฒนาพลังงานรีไซเคิลสีเขียวยังไม่ราบรื่น
ศูนย์พลังงานอาเซียนของสถาบันส่งเสริมความร่วมมือพลังงานอาเซียนกับสถาบันความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมนีร่วมกันทำการวิจัยฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาตลาดพลังงานรีไซเคิลที่แตกต่างกัน ในจำนวนนั้นประเทศไทยพัฒนาสมบูรณ์ที่สุด รองลงไปคือมาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
สืบเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ข้อกำหนดในการรวบรวมเงินทุน การจัดการทางการคลังที่ขาดความพร้อม ความไว้วางใจทางการเมืองที่ยังไม่เพียงพอ เป็นต้น การบุกเบิกพัฒนาพลังงานรีไซเคิลในเขตอาเซียนยังเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย ซึ่งเป็นเหตุทำให้พฤติกรรมที่เป็นจริงของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล่าช้ากว่าเป้าหมายที่คาดหวังไว้ก่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานคาดว่า เนื่องจากความต้องการพลังงานในอนาคตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเพิ่มการนำเข้าพลังงานฟอสซิล และจะเพิ่มการลงทุนในการก่อสร้างโรงงานกำเนิดไฟฟ้าด้วยแก๊สธรรมชาติ
ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะแก้ไขช่องว่างระหว่าง "ความปรารถนาสีเขียว" กับ " อนาคตสีน้ำตาล" จึงกลายเป็นปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในขั้นตอนบุกเบิกพัฒนาพลังงานรีไซเคิลที่แตกต่างกัน เท่ากับว่าได้เผชิญหน้ากับการท้าทายที่แตกต่างกัน มีแต่ทุกประเทศต่างให้สัญญาว่าจะขจัดความยากลำบาก เป้าหมายที่ว่าอาเซียนร่วมกันพัฒนาพลังงานรีไซเคิลจึงจะมีหวังบรรลุเป็นจริงได้
(Yim/zheng)