การจเจรจา RCEP มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตกลงการค้าเสรีแห่งภูมิภาคที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูงและอำนวยประโยชน์แก่กันในทุกด้าน ยกระดับความร่วมมือภายในภูมิภาคตะวันออกให้สูงขึ้น ลดภาษีศุลกากร ลดการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนเงื่อนไขและขั้นตอนผ่านด่านศุลกากร นอกจากนี้ RCEP ยังส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ ร่วมกันรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นการท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญในปัจจุบัน
การเจรจา RCEP เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2013 โดยครอบคลุมพื้นที่ที่มีประชากรกว่า 50% ของโลก และมียอดจีดีพี ยอดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของโลก ความโปร่งใส เปิดเผยและเปิดกว้างเป็นลักษณะเด่นของ RCEP ประเทศต่างๆ ใน RCEP มีความแตกต่างกันมากในหลายด้าน เช่น ในด้านจีดีพีเฉลี่ยต่อคน บางประเทศไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ บางประเทศสูงกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้านเนื้อที่ประเทศ มีตั้งแต่หลายร้อยตารางกิโลเมตรไปจนถึงหลายล้านกิโลเมตร เช่น ประเทศจีนมีเนื้อที่ 9,600,000 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ การเจรจา RCEP มีสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐหิจเอเชีย-แปซิฟิก(TPP) 7 ประเทศร่วมด้วย
ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ไดรสเดลจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียระบุว่า RCEP แตกต่างกับความตกลงอื่นๆ คือ ครอบคลุมประเทศมากกว่า ที่สำคัญคือ RCEP จัดตารางเวลาที่เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนาในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของตน แทนที่จะกีดกันประเทศเหล่านี้ด้วยมาตรฐานที่ประเทศพัฒนาตั้งขึ้น