ช่วงปิดภาคฤดูร้อน เป็นไฮซีซั่นที่ผู้ปกครองจีนส่งลูกไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศ เอเย่นต์บางแห่งเฉพาะช่วงปิดเทอมหน้าร้อนก็จะส่งนักเรียนไปเมืองนอกกว่า 1 หมื่นคน ค่าใช้จ่ายของทัวร์ทัศนศึกษาส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 – 5 หมื่นหยวน นับว่าไม่ถูกนัก ผู้ปกครองบางคนจึงคาดหวังให้ได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เช่น หวังจะยกระดับการใช้ภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น หรือไปศึกษาดูว่าโรงเีรียนหรือมหาวิทยาลัยแห่งใดเหมาะกับการศึกษาต่อ แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่นักเรียนได้รับจากการทัศนศึกษาที่ต่างประเทศนั้น มักจะไม่ตรงกับการคาดหวังของผู้ปกครอง จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทัศนศึกษามีแต่ทัศน์ ไม่มีศึกษา

สำหรับความเห็นดังกล่าว หวาง เหล่ย ผู้จัดการฝ่ายทัศนศึกษากลุ่มบริษัท New Oriental ซึ่งเป็นองค์กรการศึกษายักษ์ใหญ่ของจีนแสดงความไม่เห็นด้วยว่า เป้าหมายหลักของทัศนศึกษาคือ ทำให้เด็กเปิดหูเปิดตา รู้จักโลกที่กว้างใหญ่ การเที่ยวทุกครั้ง ล้วนเป็นโอกาสเรียนรู้ ไม่ใช่เที่ยวอย่างเดียว การที่ผู้ปกครองบางคนคิดว่าลูกจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นหลังจากไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศเป็นเวลา 2 สัปดาห์นั้น เป็นการคาดหวังสูงเกินความจริง

หวาง เหล่ยบอกว่า กำหนดการเดินทางจะแบ่งเวลาให้กับการเรียนและการเที่ยวอย่างเหมาะสม เช่น จะเข้าเรียนและร่วมกิจกรรมกับนักเรียนท้องถิ่น ร่วมโครงการวิจัยหรือการโต้วาที การเรียนกับการเที่ยวจะไปด้วยกัน ไม่มีการแยกจากกันอย่างชัดเจน เด็กจะเลือกพักที่โฮมสเตย์หรือโรงเรียนกินนอน แล้วแต่ความชอบ ประสบการณ์เหล่านี้ จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น

หม่า ผิง ผู้จัดการใหญ่บริษัท Edutrip ที่เปิดให้บริการทัศนศึกษามาตั้งแต่ปี 1996 เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 20 ปีก่อน แค่ลงโฆษณาหาลูกค้าไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศ ก็จะดึงดูดคนจำนวนมากมาฟังบรรยาย ผู้ปกครองสมัยนั้นคิดไม่มาก ขอเพียงมีโอกาสออกนอกประเทศก็พอใจแล้ว

แต่ทุกวันนี้ ทัวร์ทัศนศึกษาได้แยกเป้าหมายไว้หลายด้าน เช่น ฝึกทักษะด้านภาษา กีฬา ศิลปะ ความเป็นผู้นำ ตลอดจนความสามารถเฉพาะด้าน คุณค่าของทัศนศึกษาไม่ได้อยู่ที่การเรียนรู้ศัพท์ใหม่ กลับอยู่ที่การพบเห็นสิ่งดีงาม ซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักใฝ่หาชีวิตที่ดีงาม ยกตัวอย่างเช่น ชาวจีนถือถังขยะเป็นสิ่งสกปรก แต่เด็กจีนที่ไปทัศนศึกษาที่เยอรมนี พบว่าถังขยะที่นั่นสะอาดมาก และชาวเยอรมันคิดว่าถังขยะควรสะอาดอย่างนั้น