เมื่อปลายทศวรรษปี 1990 ที่สหรัฐอเมริกา ชาวจีนคนหนึ่งกำลังเดินบนสะพานแห่งหนึ่ง มีชาวอเมริกัน 2 คนเดินอยู่ข้างหลัง พอเห็นมีชาวจีนบนสะพาน ก็พนันกันว่า ชาวจีนคนนี้ว่ายน้ำเป็นหรือไม่ แล้วชาวอเมริกัน 2 คนนี้ก็จับชาวจีนโยนลงแม่น้ำ ทำให้จมน้ำเสียชีวิต แล้วก็ไม่มีอะไร ไม่มีการจับกุมชาวอเมริกันหรือการลงโทษใดๆ

เมื่อปี 1903 นายทหารถัน จิ่นยง ทูตทหารจีนประจำสหรัฐฯ ถูกตำรวจนิวยอร์กทุบตีอย่างไร้สาเหตุ แม้ยื่นบัตรแสดงตนเป็นทูตทหารจีนประจำสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ชาวอเมริกันยืนอยู่รอบข้างตะโกนว่า ชาวจีนต้องถูกตีทั้งหมด ทูตถัน จิ่นยงทนต่อความความอัปยศนี้ไม่ได้ สุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย การนี้นับเป็นเรื่องเศร้าในประวัตติศาสตร์การทูตของจีน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเศร้าดังกล่าวมีหลายอย่าง อาทิ จีนอ่อนแอ ล้าหลัง และยากจน ชาวอเมริกันดูถูกคนจีน ชาวโลกดูถูกคนจีน

การทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองและเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทำให้ชาวจีนไม่ถูกชาวตะวันตกเหยียดหยามตามอำเภอใจนั้น เป็นความฝันของชาวจีนทั้งปวง

หลังจากนายเติ้ง เสี่ยวผิงอดีตผู้นำจีน ออกนโยบายเปิดประเทศและดำเนินการปฏิรูปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน จนถึงปัจจุบันนี้ จีนขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ชาวโลกชื่นชมผลสำเร็จของจีน แต่ก็มีบางคนไม่อยากเห็นจีนที่กำลังพัฒนาเจริญยิ่งขึ้น ปีหลังๆ นี้ มีคำพูดอย่างหนึ่งว่า เศรษฐกิจจีนจะพังแล้ว จีนจะพังแล้ว เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาหลายครั้ง ชาวโลกส่วนหนึ่งก็เกิดความสงสัย

จีนกำลังจะพัง หรือกำลังพัฒนาเจริญเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป เราขอเสนอตัวเลขจาก 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ เทคโนโลยีและการทหารเพื่อแสดงให้เห็นว่า กำลังของประเทศจีนในปัจจุบันเป็นอย่างไง

1. เศรษฐกิจ

ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ของโลก เราลองมาเทียบด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีจีนกับสหรัฐฯ อุตสาหกรรมการผลิตของจีนครองสัดส่วน 36.9% ของจีดีพี แต่สหรัฐฯ เพียงมี 12.4% เท่านั้น และมี 78.1% เป็นการบริการ ชาวอเมริกันเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมาก เพราะสูญเสียอุตสาหกรรมการผลิต แถมที่มีอยู่ก็อ่อนแอลงทุกที และการอาศัยกาบริการด้านการเงินมากเกินไป จนถึงขณะนี้ ปัญหานี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้

ปี 2010 จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ขยับขึ้นเป็นประเทศใหญ่อันดับหนึ่งด้านอุตสาหกรรมการผลิต

ตั้งแต่ปี 1895 จนถึงปี 2009 สหรัฐอเมริกา ครองอันดับ 1 ด้านอุตสาหกรรมการผลิตของโลกเป็นเวลา 114 ปี แต่จนถึงปี 2010 ก็ถูกจีนแซงหน้า ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ยอดมูลค่าอุตสาหกรรมการผลิตของจีนเกือบเท่ากับยอดมูลค่ารวมของ 3 ประเทศใหญ่ ได้แก่สหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเยอรมัน และเป็น 13 เท่าของรัสเซียด้วย

(In/Lin)