คนที่สนทนาเป็นเป็นแบบไหน

ก่อนอื่น คนที่สนทนาเป็นจะทำให้การสนทนามีข้อมูลเต็มที่ ขาดความไม่สมดุลด้านข้อมูล และเปิดการสนทนาอย่างเปิดเผย ทำให้สองฝ่ายเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แฝงไว้ในการสนทนาและเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้พูดออกไป สิ่งต่างๆ ก็บรรจุไว้ในสมองคุณเท่านั้น คนอื่นจะไม่ได้ยินเลย นี่คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิด เพราะหลายครั้งที่เรามีทัศนะต่างกันเพราะว่า สองฝ่ายมีข้อมูลไม่ตรงกัน จึงมีการคาดคิดที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ทัศนะที่ต่างกันคือบอกวัตถุประสงค์ และการคาดคิดของตนตรงๆ รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

แก้ปัญหาความรู้สึกปลอดภัยก่อน

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนยินดีที่จะบอกความรู้สึกของตนตรงๆ เพราะฉะนั้น ก่อนสนทนาจริงต้องสังเกตว่า สองฝ่ายมีปัญหาความรู้สึกปลอดภัยหรือไม่ เช่น ความเข้าใจผิด ความไม่เชื่อถือกัน หรือความโกรธแค้น

ยกตัวอย่างเช่น แฟนของคุณถามว่าสุดสัปดาห์นี้จะไปเยี่ยมพ่อแม่แฟนไหม แล้วพอดีวันเสาร์นี้คุณนัดกับเพื่อนไปดูการแข่งขันฟุตบอลกัน สองคนจึงเริ่มมีข้อขัดแย้งกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าทุกประโยคของคุณจะถูกต้อง แฟนของคุณก็อาจไม่ฟัง หรือไม่ยอมบอกความรู้สึกของตน หากคุณย้ำตลอดว่า การแข่งขันครั้งนี้สำคัญมากสำหรับคุณ และบอกเหตุผลทุกอย่างให้ แฟนของคุณอาจร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม และอาจจะเริ่มทะเลาะกับคุณด้วย เช่น คุณไม่รักเธอจริง เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนอีคิวสูงจะถอยไป และไม่พูดเรื่องนี้อีก และเริ่มสังเกตอารมณ์ของทั้งสองคน หากพบว่า สองคนมีอารมณ์รุนแรงยิ่งกว่าปัญหา แสดงว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความรู้สึกปลอดภัย เริ่มปฏิเสธคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรหยุดการถกเถียงในปัญหาที่กำลังคุยอยู่ และเปลี่ยนเป็นสภาพการฟื้นฟูความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งขณะนี้อย่าถือว่าคำพูดรุนแรงจากอีกฝ่ายเป็นเรื่องจริง แต่ควรพิจารณาว่า อีกฝ่ายมีอารมณ์แบบไหน และเริ่มฟื้นฟูความรู้สึกปลอดภัยของอีกฝ่ายหนึ่ง

ซึ่งประเด็นนี้มีน้อยคนที่จะสังเกต และเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของผู้มีอีคิวสูง พวกเขาจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดรุนแรงยังไง แต่จะถอยหลังและเริ่มพิจารณาอารมณ์ของอีกฝ่าย

(Yim/cici)