เมื่อเร็วๆ นี้ สมัชชาสหประชาชาติผ่านมติ ตกลงจะเพิ่มค่าธรรมเนียมสหประชาชาติของจีนในปี 2019-2021 ให้มากขึ้นเป็น 12.01% จากปัจจุบัน 7.92% และจ่ายค่าธรรมเนียมผดุงสันติภาพเป็น 15.2% ทำให้จีนกลายเป็นประเทศจ่ายค่าธรรมเนียมมากเป็นอันดับที่สองในสหประชาชาติ

สำหรับกรณีดังกล่าว โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า เป็นผลที่เกิดจากมวลรวมการผลิตภายในประเทศ และรายได้ประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งจีนกลายเป็นประเทศที่มีกำลังเศรษฐกิจเข้มแข็งอันดับที่สองของโลกและมีอิทธิพลระหว่างประเทศมากขึ้น

ปี 2018 นี้ นโยบายกีดกันทางการค้า และนโยบายเอกภาคี รวมถึงประชานิยมเริ่มลุกลามไปทั่วโลก ถือเป็นการท้าทายต่อระเบียบสากลและระบบการค้าโลกที่สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ นั้น ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วน ขาดความมั่นใจ และเป็นผลเสียกับเศรษฐกิจโลก

ปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกเหมือนกับยืนอยู่กลางสี่แยก การปฏิรูประบบบริหารโลกก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ประชาคมโลกมีความไม่แน่นอนกับอนาคต และเรียกร้องสิ่งใหม่ที่จะสามารถนำพาการพัฒนาของทั่วโลก ไม่ใช่การประลองกำลังว่าใครเข้มแข็งกว่าใคร จีนก็ไม่มีเจตนารมณ์ที่แทนที่สหรัฐฯ และไม่มีเจตนาที่จะท้าทายกับมหาอำนาจของสหรัฐฯ สิ่งที่จีนต้องการคือร่วมสร้างระบบสากลใหม่ที่เคารพกัน มีความเที่ยงธรรมและดำเนินความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน มิใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

ขณะที่จีนจะเป็นประเทศอันดับที่สองที่จ่ายค่าธรรมเนียมสหประชาชาติและช่วยแบ่งภาระงานด้านการผดุงสันติภาพ ชาวโลกอาจจะคาดการณ์ได้จากผลงานและคุณูปการของจีนที่สร้างให้กับโลกในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ที่ดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ นั่นก็คือ จีนยินดีร่วมมือกับประเทศต่างๆ สร้างสันติภาพยั่งยืน สร้างความปลอดภัยโดยมีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน มีความเปิดเผยและยอมรับ มีความสะอาดและสวยงาม จีนจะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติภาพ ผู้มุ่งพัฒนา และผู้พิทักษ์ระเบียบสากลของโลกเหมือนดั่งที่แล้วๆ มา

Bo/Ping/Cai