2019-05-13 17:02CRI
สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐฯ ประกาศจะเริ่มกระบวนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลือทั้งหมดในมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 10% เป็น 25% โดยสหรัฐฯจะประกาศบัญชีรายชื่อสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกขึ้นภาษีในเร็วๆ นี้ การประกาศนี้เกิดขึ้นในขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงจีน-สหรัฐฯ ครั้งที่ 11 เพิ่งสิ้นสุดลงที่กรุงวอชิงตัน และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า จะเดินหน้าการเจรจากันต่อไป
สหรัฐฯด้านหนึ่งประกาศว่าจะขึ้นภาษาสินค้าที่นำเข้าจากจีนที่เหลือทั้งหมด แต่อีกด้านหนึ่งก็แสดงว่า ยินดีที่จะเดินหน้าการเจรจากับจีนต่อไป เห็นได้ชัดเลยว่า สหรัฐฯยังคงใช้กลยุทธ์ทั้งไม้แข็งและไม้นวมกับจีน โดยกดดันจีนอย่างถึงที่สุด เพื่อได้ประโยชน์สูงสุดที่โต๊ะเจรจา แต่หากวิเคราะห์คำพูดของนายหลิว เฮ่อ กรรมการกรมการเมือง คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ รองนายกรัฐมนตรีจีน หัวหน้าคณะการเจรจาฝ่ายจีน ที่กล่าวกับสื่อมวลชนหลังสิ้นสุดการเจรจาครั้งที่ 11 สหรัฐฯต้องตระหนักดีว่า ประเด็นปัญหาที่จีนให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเจรจาทางเศรษฐกิจและการค้ามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. ต้องยกเลิกมาตรการขึ้นภาษีทั้งหมด 2. ตัวเลขการค้าต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง และ 3. ต้องปรับข้อตกลงให้มีความสมดุล โดยจีนจะไม่อ่อนข้อในหลักการสำคัญดังกล่าว ดังนั้น ไม่ว่าสหรัฐฯจะใช้มาตรการกดดันอย่างไรก็ตาม จะไม่มีผลกับจีนทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
หากทบทวนกระบวนการเจรจาทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯในช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาจะพบว่า การเจรจามีความคืบหน้า แต่ก็มีเหตุพลิกผันหลายครั้ง โดยจีนมองว่า เหตุเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจาเท่านั้น และพยายามขับเคลื่อนการเจรจาให้มีความคืบหน้าด้วยความจริงใจตลอดมา เพราะจีนรู้ดีว่า การทำสงครามการค้าไม่มีฝ่ายชนะ การขึ้นภาษีสินค้าไม่เป็นประโยชน์ต่อทั้งจีนและสหรัฐฯ อีกทั้งยังไม่เป็นประโยชน์ต่อทั่วโลกด้วย ความร่วมมือจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแต่เพียงทางเดียวของจีนและสหรัฐฯ แต่ความร่วมมือต้องมีหลักการ หลักการ 3 ประการที่จีนประกาศต่อสาธารณะที่กล่าวมาข้างต้นนี้ สหรัฐฯไม่สามารถท้าทายและล้ำเส้นได้
หากสหรัฐฯดึงดันที่จะขึ้นภาษี จีนย่อมต้องตอบโต้ หลังเกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าเป็นเวลากว่าหนึ่งปี จีนได้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ มามากแล้ว ความสามารถในการรับมือกับแรงกดดันจากภายนอกก็มีความเข้มแข็งขึ้น มาตรการในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่า จีนเข้าใจดีว่า การที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนั้น แท้จริงแล้ว เป็นความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่ง ซึ่งจะนำความเสียหายให้กับตัวเอง การกระทำของสหรัฐฯ เป็นการกระทำที่สวนกระแส และละเมิดความต้องการของประชาชนทั่วไป จึงต้องประสบความล้มเหลวอย่างแน่นอน
จากรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งที่บริษัท Trade Partnership Worldwide ของสหรัฐฯประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หากสหรัฐฯขึ้นภาษาสินค้านำเข้าจากจีนในมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯจาก 10% เป็น 25% ก็จะทำให้ตำแหน่งงานของสหรัฐฯหายไป 9.34 แสนตำแหน่งภายในปีเดียว รายจ่ายของครอบครัวชาวอเมริกันที่มีสมาชิก 4 คนจะเพิ่มขึ้น 767 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากขึ้นภาษีสินค้าจากจีนที่เหลือทั้งหมดในมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 10% เป็น 25% จะทำให้ตำแหน่งงานของสหรัฐฯหายไป 2.1 ล้านตำแหน่งภายในปีเดียว รายจ่ายของครอบครัวชาวสหรัฐฯที่มีสมาชิก 4 คนจะเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ส่วนทางด้านจีน ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกขึ้นภาษีสามารถรับมือกับแรงกดดันได้ หากพิจารณาจากด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ การอุปโภคบริโภคมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีสูงถึง 76.2% ขณะที่การส่งออกมีสัดส่วนในจีดีพีลดเหลือเพียง 17.9 % เท่านั้น ความต้องการภายในประเทศกำลังกลายเป็นกำลังสำคัญในการหนุนเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง
ส่วนทางด้านการค้า 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ลดลง 11.2% โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯลดลง 4.8% การนำเข้าจากสหรัฐฯลดลง 26.8% ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สินค้าสหรัฐฯจำนวนมาก จีนสามารถนำเข้าจากที่อื่นทดแทนได้ ระยะเดียวกัน จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 10.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การขึ้นภาษีไม่เพียงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความสมดุลทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังจะเพิ่มภาระให้แก่ผู้บริโภคชาวอเมริกัน
นอกจากนี้ 4 เดือนแรกปีนี้ ยอดมูลค่าการค้าจีนกับสหรัฐฯ ในสัดส่วนยอดมูลค่าการค้าทั้งหมดของจีนลดเหลือถึง 11.5% ขณะที่การค้านำเข้าและส่งออกระหว่างจีนกับหุ้นส่วนการค้าสำคัญอื่น เช่น สหภาพยุโรป อาเซียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับประเทศรายทาง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เติบโตขึ้นถึง 9.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเฉลี่ยของการเติบโตทางการค้าที่ 4.8% ทั้งนี้หมายความว่า หุ้นส่วนทางการค้าของจีนมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ความสามารถของจีนในการรับมือกับแรงกดดันจากภายนอกมีความเข้มแข็งขึ้น แม้สหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด จีนก็สามารถรับมือได้ โดยจีนสามารถยกเลิกการค้าบางส่วนกับสหรัฐฯ และนำการค้าส่วนนี้ไปทำกับประเทศในภูมิภาคอื่น
สรุปได้ว่า ไม่ต้องกลัวสหรัฐฯจะกดดันอย่างที่สุด สหรัฐฯยิ่งกดดัน จีนยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งมั่นคง จีนได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่า ไม่อยากทำสงครามการค้า แต่ก็ไม่กลัวสงครามการค้า หากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องทำ เมื่อเผชิญกับทั้งกลยุทธ์ไม้นวมและไม้แข็งของสหรัฐฯ จีนมีคำตอบอย่างชัดเจนว่า หากต้องการเจรจา จีนยินดี แต่หากดึงดันจะทำสงครามการค้า จีนก็จะตอบโต้จนถึงที่สุด
(bo/cai)