2019-05-17 16:36CRI
สถานีวิทยุซีอาร์ไอ รายงานว่า ช่วงที่ผ่านมา นายสตีฟ แบนนอน อดีตหัวหน้าที่ปรึกษายุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามวิ่งเต้นเพื่อกลับมามีบทบาทในวงการเมืองอีกครั้ง หลังจากเขาถูกไล่ออกจากทำเนียบขาวเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2017 วิธีการที่เขาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ พยายามหาทุกวิถีทางใส่ร้ายจีน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน นายสตีฟ แบนนอน มองว่า นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเขา เขาจึงรีบเขียนบทความยาวชิ้นหนึ่ง เพื่อชวนให้คนทั่วไปเชื่อว่า จีนเป็นศัตรูใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยอ้างสาเหตุ 6 ประการ อีกทั้งยังยุยงให้เจ้านายเก่าของเขาอย่าอ่อนข้อแก่จีนในเรื่องความขัดแย้งทางภาษีศุลกากร ซึ่งเขาเรียกว่า “สงครามเศรษฐกิจ”
นายสตีฟ แบนนอน ระบุในบทความดังกล่าวว่า จีนได้ทำสงครามทางเศรษฐกิจกับประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย แต่ข้อเท็จจริง คือ ข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ของจีนได้สร้างเวทีร่วมหารือ ร่วมพัฒนา และร่วมแบ่งปันประโยชน์ขนาดใหญ่ที่สุดแก่ทั่วโลก ตลอดจนกลายแนวคิดสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก
นายสตีฟ แบนนอน ระบุในบทความดังกล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็นการปะทะเชิงลึก นอกจากนี้ ยังยุยงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลงโทษจีนด้วยเครื่องมือทางภาษีต่อไป ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ในสมองของนายสตีฟ แบนนอน เต็มไปด้วยแนวคิดคลั่งสงคราม และไม่คำนึงถึงบทเรียนทางประวัติศาสตร์ คือ การทำสงครามการค้าไม่มีฝ่ายชนะ อีกทั้งยังได้ละเมิดมติของชาวโลกโดยทั่วไปด้วย
นอกจากนี้ นายสตีฟ แบนนอน ยังกล่าวหาจีนว่า ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลทั้งสิ้น ในปี 2017 การขอจดทะเบียนสิทธิบัตรภายในประเทศ เครื่องหมายการค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น ๆ ของจีนจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2018 ดัชนีการสร้างนวัตกรรมของจีนอยู่อันดับที่ 17 จากการจัดอันดับ 20 ประเทศแรกของโลก ซึ่งแสดงว่าจีนพัฒนาเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
คำพูดที่วางตัวเป็นศัตรูกับจีนอย่างร้ายแรงที่สุดของนายสตีฟ แบนนอน คือ จีนอยากเป็นประเทศครองความเป็นเจ้า ซึ่งคำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่อยากครองความเป็นเจ้าที่ฝังลึกในใจของนายสตีฟ แบนนอน
นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมเสวนาอารยธรรมเอเชีย ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า การมีความปรารถนาดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับทุกประเทศทั่วโลก เป็นแนวทางของชาวจีนตามอารยธรรมประชาชาติจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้กล่าวย้ำในอีกหลายโอกาสทั้งในและต่างประเทศว่า ไม่ว่าจีนจะพัฒนาไปเพียงไร ก็จะไม่มีวันครองความเป็นเจ้า ไม่มีวันขยายอิทธิพลของตนเอง ไม่มีวันที่จะนำประสบการณ์อันโศกเศร้าที่ตนเองเคยประสบไปยัดเยียดแก่ชนชาติอื่น แนวความคิดเกี่ยวกับการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่เสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของจีนที่จะร่วมกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในการส่งเสริมการพัฒนา รักษาความมั่นคง และมีส่วนร่วมในการบริหารโลก ตลอดจนแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เน้นนโยบายสหรัฐฯ ต้องเป็นที่หนึ่งนั้น ย่อมไม่เข้าใจหรือไม่อยากเข้าใจแนวทางของจีนที่ถือประโยชน์ส่วนรวมของโลกเป็นที่ตั้ง
การที่กลุ่มนักการเมืองขวาจัด เช่น นายสตีฟ แบนนอน พยายามใส่ร้ายจีนนั้นสะท้อนให้เห็นว่า ผีลัทธิแม็คคาร์ธี (McCarthyism) ในทศวรรษ 1950 กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง นักการเมืองกลุ่มนี้อยากให้จีนเป็นแพะรับบาปจากความล้มเหลวของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ พวกเขาพยายามทำให้ชาวโลกเข้าใจผิดว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก เป็นความขัดแย้งทางค่านิยม และการปะทะทางอารยธรรมที่มีความแตกต่างกัน มิหนำซ้ำ พวกเขายังอยากให้เกิดสงครามระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทันทีอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อจะได้สนองความต้องการและความทะเยอทะยานทางการเมืองของพวกเขา วันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ หลายคนยื่นญัตติฉบับหนึ่งต่อรัฐสภา โดยเสนอให้ห้ามออกวีซ่าแก่บุคคลที่ทำงานในสถาบันการวิจัยด้านการทหารของจีน หรือบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันดังกล่าวที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคง วันเดียวกัน ทำเนียบขาวได้ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ” โดยห้ามไม่ให้บริษัทสหรัฐฯ ใช้เครื่องอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ผลิตโดยบริษัทที่กำลังเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ชาวโลกเชื่อว่า คำสั่งของรัฐบาลสหรัฐฯ ดังกล่าวเจาะจงต่อบริษัทหวาเหวยของจีนโดยเฉพาะ
ในยุคเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาที่สุด มีพลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และเศรษฐกิจที่เข้มแข็งที่สุด กลับต้องกังวลต่อความปลอดภัยของตนเองมากจนถึงขนาดต้องปิดประตูประเทศของตนเอง นี่เป็นเรื่องที่ชาวโลกเข้าใจได้ยากจริง ๆ
แท้ที่จริงแล้ว ปีศาจอยู่ในบ้านของตนเอง ผู้ที่สามารถล้มสหรัฐฯ ได้ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือ ตัวสหรัฐฯ เอง ขณะนี้ กลุ่มที่สร้างภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดแก่สหรัฐฯ คือ กลุ่มนักการเมืองขวาจัดที่ยึดแนวคิดเกมต้องมีแพ้มีชนะ ประชาชนสหรัฐฯ ต้องระวังผู้ที่ยึดถือลัทธิแม็คคาร์ธีในรูปแบบใหม่ เช่น นายสตีฟ แบนนอน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยกล่าวว่า ผู้ที่ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าไม่ต่างอะไรจากการขังตนเองไว้ในห้องมืด แม้คนแบบนี้อาจหลบลมและฝนได้ แต่ก็ไม่สามารถรับแสงอาทิตย์และอากาศที่สดชื่นได้ ขณะนี้ สหรัฐฯ กำลังปิดประตูห้องมืดของตนเองให้สนิทมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่อาจเป็นการสิ้นลมหายใจลงด้วยตนเอง
(tim/cai)