2019-06-13 11:47CRI
นับตั้งแต่นายไมค์ ปอมเปโอ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเป็นเวลากว่าหนึ่งปี สิ่งหนึ่งที่เขาได้ทำมาตลอดคือ พูดหมิ่นประมาทและใส่ร้ายป้ายสีจีนในทุกโอกาส ไม่ว่าระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศลาตินอเมริกา เอเชีย แอฟริกา หรือยุโรป และก็ไม่ว่าประเด็นหลักของการเยือนครั้งนั้นจะเป็นอย่างไร เขาจะพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า จีนเป็นประเทศที่เลวร้าย
เขาใส่ร้ายจีนว่า จีนจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนในเขตซินเจียง โดยจัดตั้งสิ่งที่เขาเรียกว่า “ค่ายให้การศึกษาอีกครั้ง ” เพื่อคุมขังประชาชนชนกลุ่มน้อย แต่ข้อเท็จจริงคือ สิ่งที่เขาเรียกว่า “ค่ายให้การศึกษาอีกครั้ง” เหล่านั้นเป็นศูนย์ฝึกอาชีพ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้บุคคลจำนวนน้อยที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิก่อการร้าย และความคิดสุดโต่ง กลับเข้าสู่สังคมได้จากการเรียนรู้ภาษาจีนกลาง กฎหมาย และทักษะการประกอบอาชีพ จากการใช้มาตรการดังกล่าว ช่วง 3 ปีมานี้ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายอีกที่เขตซินเจียง
ปัจจุบัน มีมัสยิด 24,400 แห่งในเขตซินเจียง เฉลี่ยแล้วทุก 530 คนมีมัสยิดหนึ่งแห่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนมัสยิดในทั่วประเทศสหรัฐฯ กลับมีไม่ถึง 1 ใน10 ของเขตซินเจียงเลย นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศจำนวนกว่า 150 ล้านคนเดินทางไปท่องเที่ยวเขตซินเจียง จำนวนนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในจำนวนนี้ นักท่องเที่ยวต่างประเทศมี 2.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.78% ดังนั้น ลองพิจารณาดูว่า หากสถานการณ์ของเขตซินเจียงเลวร้ายอย่างที่นายไมค์ ปอมเปโอกล่าวหา จะมีนักท่องเที่ยวมากมายขนาดนี้เดินทางไปท่องเที่ยวเขตซินเจียงหรือ
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังใส่ร้ายป้ายสีข้อริเริ่มของจีนเกี่ยวกับ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มาโดยตลอดด้วย โดยกล่าวว่า “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” สร้างความเสียหายให้แก่อธิปไตยของประเทศที่มีส่วนร่วม แต่ข้อเท็จจริงคือ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้แทน 6,000 คน จาก 150 ประเทศ และ 92 องค์การระหว่างประเทศได้เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความร่วมมือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ครั้งที่ 2 ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งรวมทั้งผู้แทน 50 คนจากสหรัฐฯด้วย แสดงให้เห็นว่า ประชาคมโลกลงคะแนนเสียงเชื่อถือ และสนับสนุนข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เฉกเช่นนี้แล้ว นายไมค์ ปอมเปโอยังจะใช้คำโกหกมาใส่ร้ายจีนอีก
และระหว่างนายไมค์ ปอมเปโอเดินทางไปเยือนเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ เขาข่มขู่พันธมิตรอีกครั้งว่า หากใช้เทคโนโลยีของจีน จะมีความเสี่ยงทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลออกไป ซึ่งประเด็นนี้ยังมีการพูดคุยถึงระหว่างนายไมค์ ปอมเปโอให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว CNBC เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยผู้ดำเนินรายการถามเขาว่า มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม แต่สุดท้าย นายไมค์ ปอมเปโอก็ไม่สามารถนำหลักฐานใดๆ ออกมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า บริษัทหวาเหวย ของจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติของสหรัฐฯ นายไมค์ ปอมเปโออาจลืมไปแล้วว่า เป็นเพราะยุโรปใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯนี่แหละ จึงทำให้โทรศัพท์มือถือของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีถูกดักฟัง ด้วยเหตุนี้ เมื่อนายไมค์ ปอมเปโอข่มขู่ว่า จะลดการแบ่งปันข่าวกรองกับประเทศที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมืออุปกรณ์ของบริษัทหวาเหวย นายไฮโค มาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ตอบกลับว่า ขอเพียงสอดคล้องกับมาตรฐานด้านความมั่นคงของเยอรมนี เยอรมนีจะไม่กีดกันบริษัทใดๆที่จะเข้าร่วมการประมูลโครงการสร้างเครือข่าย 5G
นายสตีเฟน เวอร์ตเตม นักประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯเขียนบทความเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การที่สหรัฐฯหันมาใช้นโยบายต่อต้านจีนนั้นเกิดจากความกังวลของสหรัฐฯที่มีต่อจีน บุคคลจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯเห็นว่า หากต้องการรักษาความเป็นที่หนึ่งในโลกของสหรัฐฯ ก็ต้องยับยั้งจีน กดดันจีนทุกวิถีทาง และนายไมค์ ปอมเปโอก็เป็นบุคคลหนึ่งในกลุ่มนี้
สหรัฐฯในฐานะอภิมหาอำนาจแต่เพียงหนึ่งเดียวในโลก ต้องการนักการทูตมืออาชีพระดับเยี่ยม ไม่ใช่บุคคลอย่างนายไมค์ ปอมเปโอที่ได้แต่พูดใส่ร้ายป้ายสีจีนซ้ำไปซ้ำมา คำพูดใส่ร้ายจีนที่เหลวไหลไร้สาระของนายไมค์ ปอมเปโอ จะทำให้สหรัฐฯถูกโดดเดี่ยวยิ่งขึ้นจากประชาคมโลก
(yim/cai)