สหรัฐไร้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นอีก หลังพยายามตราหน้าจีนเป็นประเทศคุมค่าเงิน

2019-08-08 15:23CRI

图片默认标题_fororder_1

เมื่อเร็วๆนี้   กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จัดให้จีนเข้าอยู่ในประเทศควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน  การกระทำนี้เป็นการคว่ำมาตรฐานเกี่ยวกับประเทศควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯกำหนดไว้เอง  และแสดงให้เห็นว่า   จุดยืนพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของจีนทำให้ชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งกระวนกระวายมาก จนต้องนำประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนมากดดันจีนอย่างสุดขีดต่อไป   เพื่อรังแกข่มขู่จีนทางด้านเศรษฐกิจ     การกระทำของสหรัฐฯดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย  ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่ทั้งประเทศอื่นและสหรัฐฯเอง  

เมื่อย้อนรอยในประวัติศาสตร์จะพบได้ว่า  การกดดันและยับยั้งคู่แข่งด้วยประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเป็นวิธีการที่สหรัฐฯใช้บ่อย   เช่น เมื่อต้นทศวรรษ 1980   ญี่ปุ่นได้พัฒนาเป็นประเทศที่เจริญขึ้นใหม่ด้านอุตสาหกรรมการผลิตและการค้า   ทำให้ญี่ปุ่นถูกสหรัฐฯมองว่า เป็นคู่แข่งที่ท้าทายถึงอำนาจด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในโลก  ช่วงเวลานั้น   ตัวเลขแดงการคลังของสหรัฐฯขยายตัว  การขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯได้เพิ่มมากขึ้น    เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้   สหรัฐฯเริ่มวางแผนให้ดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า   เพื่อพลิกสถานการณ์รายรับและรายจ่ายระหว่างประเทศของสหรัฐไม่สมดุล   เมื่อเดือนกันยายนปี 1985   ภายใต้การผลักดันของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี  ฝรั่งเศส และอังกฤษทำข้อตกลงพลาซ่ากับสหรัฐฯ   ทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากในสกุลเงินหลักของโลก   และยังทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะถดถอยเป็นเวลานานถึง 20 ปี  

นอกจากนี้  ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ถึงทศวรรษ 1990  สหรัฐฯได้วินิจฉัยให้เกาหลีใต้และอีกหลายประเทศเป็นประเทศควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน   บังคับให้ประเทศเหล่านี้ ต้องเพิ่มความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยน   และผ่อนปรนในการควบคุมเงินทุน   รวมทั้งพยายามให้เงินตราของประเทศเหล่านี้แข็งค่าขึ้นต่อดอลลาร์สหรัฐ    นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเคยจัดให้เยอรมนี  อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์เข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าติดตามเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน    จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ชัดว่า   สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ประเทศใดที่เป็นคู่แข่งมีความเข้มแข็งกว่า     แม้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯก็เช่นกัน 

เมื่อปี 2005   มีสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯเสนอญัตติเกี่ยวกับกฎหมายเงินตราต่อรัฐสภาสหรัฐฯ  โดยกล่าวหาจีนควบคุมค่าเงิน  และขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน    ทั้งนี้ มีเป้าประสงค์ที่จะบังคับให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างมาก    แต่หลังจีนปฏิรูปกลไกอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อปี 1994  เป็นต้นมา   อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนเป็นไปตามความต้องการในตลาดมากขึ้น   และเมื่อเร็วๆ นี้  กองทุนการเงินระหว่างประเทศก็ประกาศว่า  อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนโดยรวมสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ  หลังรัฐบาลสหรัฐฯชุดปัจจุบันเข้าบริหารประเทศ  กระทรวงการคลังสหรัฐฯเคยยื่นรายงานเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนในระยะเวลาครึ่งปี 5 ฉบับต่อรัฐสภา    ก็ไม่เคยจัดให้จีนเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน 

ช่วงที่ผ่านมานี้   เนื่องจากสหรัฐฯเร่งผลักดันนโยบายเอกภาคีนิยมตามอำเภอใจ  และยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีน  ทำให้ตลาดการเงินโลกเกิดความปั่นป่วน  อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนเกิดการขึ้นลงในระดับหนึ่งตามความต้องการของตลาดและการคาดการณ์   เมื่อเร็วๆ นี้   เงินหยวนเคยอ่อนค่าทะลุ 7 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ   ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในตลาด   แต่ชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งกลับคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะกดดันจีน จึงได้เลือกมองข้ามผลการประเมินอัตราแลกเปลี่ยนขององค์การวิชาชีพ   ตราหน้าให้จีนเป็นประเทศควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน  เพื่อกดดันจีนมากขึ้น และผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ 

การกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯไม่เพียงจะสร้างอุปสรรคใหม่ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯเท่านั้น   หากยังจะทำให้ตลาดการเงินโลกเกิดความปั่นป่วนมากขึ้น  และขัดขวางการฟื้นฟูทางการค้าระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลกด้วย   จึงเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ทั้งประเทศอื่นและประเทศตน

(yim/cai)

ภาพและเนื้อหาข่าวเป็นลิขสิทธิ์ของ China Face

Not Found!(404)