เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายโรเบิร์ต โอไบรอัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ตั้งใจเผยแพร่ข่าวว่า พรรคการเมืองของจีน “เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร” เจตนาใส่ร้ายและโจมตีระบบการเมืองจีน

คำกล่าวต่อต้านจีนที่ไม่ตรงกับความจริงของนายโรเบิร์ต โอไบรอัน  สะท้อนถึงสภาพจิตใจที่พิกลพิการของนักการเมืองอเมริกันบางคน ด้านหนึ่ง พวกเขาเข้าใจอย่างผิดเพี้ยนว่า การที่จีนเติบโตและพัฒนาเช่นนี้เกิดจากการที่สหรัฐฯ เปิดตลาดให้จีนโดยลำพังฝ่ายเดียว การที่จีนพัฒนาก้าวหน้าถึงเพียงนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานและต้องกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ เอง ส่วนอีกด้านหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่จีนไม่พัฒนาตามที่คาดไว้ จึงลงข้อสรุปได้ว่า นโยบายความสัมพันธ์กับจีนในระยะยาวของสหรัฐฯ “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” จึงต้องแสดง “ความแข็งแกร่ง” ให้จีนเห็น เพื่อรักษาฐานะการครองความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ในที่สุด

ปัจจุบัน ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงลำบากที่สุดนับตั้งแต่หลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต นายเฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวแสดงความกังกลว่า จีน-สหรัฐฯ ล้วนไม่มีทางเป็นผู้ชนะจากการปะทะกันในระยะยาว หากไม่สามารถแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาได้ ก็จะเป็นผลร้ายที่รุนแรงกว่าสงครามโลก 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งทำลายอารยธรรมของยุโรป สื่อมวลชนทั่วโลกจับตามองทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ในระดับสูง โดยกังวลว่า “สงครามเย็น” รอบใหม่อาจปะทุขึ้นระหว่างจีน-สหรัฐฯ จนกระทบทั่วโลก ซึ่งความกังวลเช่นนี้เกิดจากนักการเมืองอเมริกันที่ต่อต้านจีนอย่างนายโรเบิร์ต โอไบรอัน ที่มุ่งหมายประโคมข่าว “จีนเป็นภัยคุกคาม” และกดดันจีนอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองยึดโยงกับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ มุ่งมั่นตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศโดยไม่เลือกวิธีการ เจตนาบ่อนทำลายรากฐานแห่งความเชื่อมั่นทางการเมืองระหว่างรัฐบาลของ 2 ฝ่าย จึงกำลังทำตัวเป็นอาชญากรที่ทำลายความร่วมมือจีน-สหรัฐฯ ตลอดจนเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อโลกยุคปัจจุบัน

TIM/LF/ZI