บทวิเคราะห์ : หน้ากากปกป้องสิทธิมนุษยชนอเมริกันแตกสลายในการปะทะระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล

เมื่อเร็วๆ นี้ มีรูปถ่ายรูปหนึ่งทำให้คนทั้งโลกต้องรู้สึกปวดใจ ในรูปเป็นสตรีชาวปาเลสไตน์คนหนึ่ง กำลังลี้ภัยที่โรงเรียนในฉนวนกาซาพร้อมกับลูกในอ้อมแขนของเธอ ดวงตาเบิกมองโลกด้วยความสยดสยอง ตามรายงานของสำนักข่าวสปุตนิคของรัสเซียที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม การปะทะระหว่างปาเลสไตน์–อิสราเอลในปัจจุบัน ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 217 คนรวมทั้งเด็ก 63 คนด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ ศูนย์ตรวจสอบไวรัสโควิดแห่งใหม่ในฉนวนกาซาถูกโจมตีทางอากาศ ซึ่งหมายความว่าชาวปาเลสไตน์จะต้องรับความทรมานจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และสงครามซ้ำซ้อนกัน

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทางด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงเช่นนี้ รัฐบาลสหรัฐฯไม่เพียงอ้างว่าอิสราเอลมี “สิทธิในการป้องกันตนเอง” เท่านั้น แต่ยังขัดขวางคณะมนตรีความมั่นคงอนุมัติแถลงการณ์หยุดยิงร่วมกันระหว่างปาเลสไตน์ – อิสราเอลถึง 3 ครั้ง    ตามรายงานของวอชิงตันโพสต์ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แจ้งรัฐสภาอิสราเอลอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า จะจำหน่ายอาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำมูลค่า 735 ล้านดอลลาร์ให้กับอิสราเอล ซึ่งรวมถึง "อาวุธโจมตีโดยตรงร่วม" และระเบิดขนาดเล็ก GBU-39 จะเห็นได้ว่าในปะทะระหว่างปาเลสไตน์–อิสราเอลนั้น สหรัฐฯได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของความผิดชอบชั่วดีและศีลธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นการเติมน้ำมันให้กับไฟสงครามในตะวันออกกลาง

ความจริงแล้ว สหรัฐฯทำเรื่องชั่วร้ายในตะวันออกกลางมานานแล้ว การกระทำในอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรียและประเทศอื่นๆ ทำให้ชาวมุสลิมหลายล้านคนเสียชีวิต และละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมหลายสิบล้านคน

จะเห็นได้ชัดว่า สหรัฐฯเอาแต่พันธมิตรเท่านั้น และไม่สนใจว่าจะทำในท่าทีอะไร  ใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องบังหน้า เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

Yim/Lei/Zhou

ภาพและเนื้อหาข่าวเป็นลิขสิทธิ์ของ China Face

Not Found!(404)