|

ในสมัยจั้นกว๋อ จ้าวเซอและเหลียนโพต่างเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มชื่อเสียงของรัฐจ้าว. เขาทั้งสองเคยรบชนะรัฐฉินมาหลายครั้งด้วยกัน. จ้าวเซอมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อจ้าวคั่ว บุตรชายคนนี้ของเขาชอบอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามมาตั้งแต่เด็กและสามารถพูดถึงการจัดกำลังทัพได้อย่างคล่องแคล่ว แม้แต่พ่อของเขาเองบางครั้งก็ยังตอบไม่ถูกด้วยเหตุนี้ จ้าวคั่วจึงเข้าใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครสู้เขาได้. แต่จ้าวเซอไม่เคยออกปากชมลูกชายของเขาเลย เห็นว่าจ้าวคั่วเป็นเพียง"ทำศึกบนกระดาษ" เท่านั้น และยังกล่าวด้วยความวิตกกังวลว่า?"ในอนาคตถ้าหากรัฐจ้าวไม่มอบหมายให้จ้าวคั่วเป็นแม่ทัพก็จะเป็นการดี ขืนมอบหมายให้เขานำกองทหารไปรบแล้ว เขาจะเป็นคนที่ทำลายรัฐจ้าวอย่างไม่ต้องสงสัย".
ต่อมาในปี ค.ศ.๒๖๒ ก่อนคริสต์ศักราช รัฐฉินยกทัพไปโจมตีรัฐจ้าว. กองทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตั้งประจัญยันกันอยู่ที่ฉางผิง. เวลานั้น จ้าวเซอได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว. ลิ่นเซี่ยงหยูซึ่งเป็นขุนนางผู้ ใหญ่ก็กำลังป่วยหนัก ทางรัฐจ้าวจึงให้เหลียนโพแม่ทัพผู้สูงอายุไปนำทัพ. ระยะแรกกองทัพของรัฐจ้าวรบแพ้หลายครั้งติดกัน หลังจากนั้น แม่ทัพเหลียนโพจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการคุมกำลังตั้งอยู่บนที่มั่นไม่ออกรบ การสู้รบดำเนินอยู่เป็นเวลานานถึงสามปี กองทัพรัฐฉินเริ่มขาดแคลนเสบียงอาหารและเริ่มเสียขวัญ จึงคิดอุบายลอบส่งคนเข้าไปปล่อยข่าวลือในรัฐจ้าวว่า "กองทัพฉินนั้นไม่กลัวเกรงใครทั้งสิ้น จะกลัวก็ต่อเมื่อจ้าวคั่วมาเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการรบเท่านั้น".
เมื่อข่าวนี้แพร่เข้าไปในพระราชวัง กษัตริย์เสี่ยวเฉิงของรัฐจ้าวซึ่งกำลังทรงวิตกที่การทำศึกไม่คืบหน้าอยู่แล้ว พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยให้จ้าวคั่วไปนำทัพ. ครั้นลิ่นเซี่ยงหยูทราบเรื่องก็ทูลเตือนกษัตริย์เสี้ยวเฉิงว่า อย่ามอบหมายหน้าที่สำคัญให้แก่จ้าวคั่วเป็นอันขาด. แม้แต่มารดาของจ้าวคั่วเองก็ยังเขียนหนังสือกราบทูลกษัตริย์รัฐจ้าวว่า ลูกชายของนางดีแต่พูด หามีความสามารถที่จะรับงานสำคัญไม่ แต่กษัตริย์รัฐจ้าวไม่ทรงฟังคำกราบทูลเตือนดังกล่าวตรัสสั่งให้เรียกตัวเหลียนโพกลับมา แล้วทรงแต่งตั้งให้จ้าวคั่วเป็นแม่ทัพ.
เมื่อจ้าวคั่วไปถึงสนามรบก็ยิ่งเหิมเกริม เขาสั่งเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของเหลียนโพเสียใหม่ ทำการจัดกำลังเตรียมรบเป็นการใหญ่ และสั่งโยกย้ายสับเปลี่ยนนายทหาร ทำให้จิตใจของนายและพลทหารเกิดพะว้าพะวัง. เมื่อกองทัพของรัฐฉินสืบทราบสภาพแน่ชัดแล้ว จึงส่งกองกำลังส่วนหนึ่งลอบเข้าโจมตีในเวลากลางคืน. รบได้ไม่นานก็แสร้งทำเป็นรบแพ้พากันถอยหนีและเตรียมใช้โอกาสเช่นนั้นตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารของกองทัพรัฐจ้าวเสีย ส่วนจ้าวคั่วนั้นหลงคิดว่ากองทัพฉินพ่ายแพ้จริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นกลอุบาย จึงสั่งให้ยกกำลังติดตามไป. พอเสียงกลองและล่อดังขึ้น กองทัพรัฐฉินก็ทะลวงเข้าตัดกองทัพรัฐจ้าวออกเป็นสองส่วน. หลังจากนั้นก็ล้อมกองทัพรัฐจ้าวไว้เป็นเวลาสี่สิบกว่าวัน เสบียงอาหารของทั้งคนและม้าหมดลงทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลและเสียขวัญกันไปทั่วทั้งกองทัพ. จ้าวคั่วที่ปกติสามรถท่องคัมภีร์พิชัยสงครามอย่างขึ้นใจ มาบัดนี้ก็จนปัญญาและเห็นว่าถ้าปล่อยให้ตกอยู่ในวงล้อมต่อไปจะต้องอดตายแน่ จึงจำใจนำกองทหารตีฝ่าวงล้อม แต่ก็เห็นกองทหารรัฐฉินกำลังบุกเข้ามา ธงทิวปลิวไสวไปรอบทิศ. ในที่สุดจ้าวคั่วถูกลูกเกาทัณฑ์ตายในสนามรบ. กองทัพจำนวนสี่แสนคนแตกพ่ายกระจัดกระจาย. หลังจากนั้น กองทัพรัฐฉินก็เข้าล้อมนครหานตานเมืองหลวงของรัฐจ้าว. ต่อมากษัตริย์ซิ่นหลิงจวินของรัฐเว่ยได้ยกกองทัพมาช่วย รัฐจ้าวจึงค่อยรอดพ้นจากความพินาศไปได้.
จ้าวคั่วแม่ทัพที่ได้แต่"ทำศึกบนกระดาษ"นี้ในที่สุดก็มีจุดจบเฉกเช่นที่บิดาของเขาได้เคยพูดไว้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ มิเพียงตัวเองต้อง พบจุดจบอันน่าเศร้าเท่านั้น หากยังสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติด้วย. สำนวน"ทำศึกบนกระดาษ"ภาษาจีนอ่านว่า " " (จื่อ ซ่าง ถาน ปิง ) อุปมาการได้แต่ยกทฤษฎีขึ้นมาอ้างลอยๆ แก้ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้หรืออุปมาดีแต่พูดเพ้อเจ้อ ไม่สามารถกลายเป็นเรื่องจริงได้ เข้าทำนองสุภาษิตของไทยที่ว่า"ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก"คือดีแต่พูดนั่นเอง.
|