|

ในยุคสมัยจั้นกว๋อ ที่รัฐฉีมีหญิงสาวคนหนึ่งมีรูปโฉมสวยงามยิ่งเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ประหนึ่งหัวแก้วหัวแหวน. ในละแวกบริเวณที่หญิงสาวอาศัยอยู่นั้นมีครอบครัวสองครอบครัวอาศัยอยู่ บ้านที่อยู่ด้าน ตะวันออกนั้นเป็นคนร่ำรวยมีเงินมีทอง แต่มีลูกชายที่รูปร่างเตี้ยและอัปลักษณ์ยิ่ง ส่วนบ้านที่อยู่ทางตะวันตกนั้นเป็นคนยากจน แต่กลับมลูกชายที่มีรูปร่างหน้าตาดี.
มีอยู่วันหนึ่ง ครอบครัวด้านตะวันออกและด้านตะวันตกได้ส่งคนมาสู่ขอหญิงสาวผู้มีรูปโฉมสวยงามผู้นี้พร้อมกัน พ่อแม่ของหญิงสาว ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรยกลูกสาวของตนให้ชายคนไหน ดังนั้น จึงเรียก ลูกสาวมาหารือว่า?"ลูกรักของพ่อ บัดนี้ ครอบครัวบ้านตะวันออกและ ตะวันตกต่างส่งคนมาสู่ขอเจ้า พ่อกับแม่ตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าเจ้า ชอบบ้านไหนกันแน่? เจ้าลองบอกกล่าวให้พ่อกับแม่ฟังสักหน่อยซิ". หญิงสาวฟังแล้วก็เกิดความละอาย นั่งก้มหน้าท่าทางขวยเขิน ไม่กล่าวว่ากระไร พ่อแม่ของหล่อนคิดว่าลูกสาวคงขวยเขินยากที่จะเอ่ย ปาก จึงพูดขึ้นว่า?"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้เพราะอายละก้อ ถ้าแม้นเจ้าชอบชายบ้านตะวันออกก็ยกแขน ซ้ายขึ้น แต่ถ้าชอบชายบ้านตะวันตกก็ยกแขนขวาขึ้น". หญิงสาวฟังแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็ยกแขนขึ้นทั้งซ้ายและขวา. พ่อแมของหล่อนเห็นเช่ยนั้นก็แปลกใจถามว่า" นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?"
หญิงสาวกล่าวอย่างเอียงอายว่า"ชายบ้านตะวันออกร่ำรวย แต่หน้าตาอัปลักษณ์ยิ่ง ชายบ้านตะวันตกนั้นยากจน แต่รูปร่างหน้าตาดฉัน....ฉันอยากจะกินข้าวที่บ้านตะวันออก อยู่บ้านตะวันตก."
สำนวน"กินบ้านตะวันออก อยู่บ้านตะวันตก"ก็มาจากนิทานเรื่องนี้ อุปมาอุปไมยโลภอย่้างไม่รู้จักอิ่ม เห็นแก่ได้อย่างเดียว.สำหรับหญิงสาวผู้นี้หล่อนต้องการความร่ำรวยของชายบ้านตะวันออกต้องการรูปร่างงดงามของชายบ้านตะวันตก คือต้องการทั้งสองฝ่ายที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง นับว่าเป็นความฉลาดเกินตัวทีเดียว. สำนวนนี้ภาษาจีนอ่านว่า" "(ตง ซึ ซี ซู่) คำว่า"ซึ"แปลว่ากินส่วนคำว่า"ซู่"แปลว่าอยู่ คือจะกินข้าวที่บ้านตะวันออก แต่จะอยอาศัยที่บ้านตะวันตก เข้าทำนองจะเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง ซึ่งเป็นความโลภที่น่าเกลียดยิ่งแล.
|