เมื่อบ่ายวันที่ 30 ตุลาคมนี้ การประชุมสุดยอดเพื่อรำลึกการสร้างความสัมพันธ์แบบคู่เจรจาระหว่างจีนกับอาเซี่ยนครบรอบ 15 ปีได้จัดขึ้นที่เมืองหนานหนิง
นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน และผู้นำประเทศอาเซี่ยน 10 ประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดฯครั้งนี้ นายเวิน เจียเป่า ได้กล่าวคำปราศรัยว่า "15 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซี่ยนได้ผ่านกระบวนการพัฒนาจากความหวาดระแวงกันมาสู่การเจรจาหารือ เสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จนสร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในที่สุด ปัจจุบันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซี่ยนกำลังอยู่ในระยะการพัฒนาที่ดีที่สุด การสร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซี่ยนคืบหน้าไปอย่างมีเสถียรภาพ ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ พัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค"
ก่อนหน้านี้ นายนิตย์ พิบูลย์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอประจำประเทศไทยเกี่ยวกับความร่วมมือจีน-อาเซี่ยนว่า
"กล่าวสำหรับจีนกับอาเซี่ยนแล้ว การปรึกษาหารือกันสามารถสมานสามัคคีให้ทุกฝ่ายเข้าด้วยกันได้ การปรึกษาหารือกันสามารถเพิ่มความเชื่อถือซึ่งกันและกันและเพิ่มความเข้าใจต่อกันได้ และสามารถช่วยขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่กีดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายได้ "
นอกจากนี้ นายนพปฎล คุณวิบูลย์ อธิบดีกรมอาเซี่ยน กระทรวงการต่างประเทศไทยก็ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอประจำประเทศไทยถึงแผนการทํางานของกลไกการปรึกษาหารือในอนาคตว่า
"ในอีก 15 ปีข้างหน้า ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างอาเซี่ยนกับจีนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มมากยิ่งขึ้นในเรื่องทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหวังว่าความพยายามระหว่างอาเซี่ยนและจีนที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างกันภายในระยะเวลาที่ต่างฝ่ายได้ตกลงกันไว้จะบรรลุผลนะครับ แล้วไทยเองก็อยากที่จะสนับสนุนให้ความร่วมมือระหว่างอาเซี่ยนกับจีนในกรอบต่างๆมีความเป็นรูปธรรม โดยเราอยากที่จะเสนอให้ประชาชนของอาเซี่นยกับจีนรู้จักกัน เข้าใจกันมากขึ้น เพราะว่าประชาชนของเราเป็นพื้นฐานไปสู่ความร่วมมือในระดับรัฐบาลและในเรื่องอื่นๆ เมื่อประชาชนมีความเข้าใจดีซึ่งกันและกันแล้ว ก็จะนําไปสู่ความเข้าใจกันในระดับรัฐบาล ถ้ารัฐบาลเราเข้าใจดีว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร ก็จะทําให้ความร่วมมือเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น แล้วเราเองก็อยากที่จะให้มีสิ่งที่สนับสนุน ก็คือว่าไทยจะเสนอให้มีการจัดตั้ง Asean-China-Center ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อเป็นศูนย์กระจายข้อมูลเกี่ยวกับประเทศอาเซี่ยนกับจีน ที่เห็นว่าสําคัญเพราะว่าในด้านเกี่ยวกับประเทศจีนนั้น ประชาชนประเทศอาเซี่ยนรู้จักดี จีนเป็นประเทศใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการศึกษาเกี่ยวกับจีนเยอะ แต่สําหรับประเทศอาเซี่ยน เราเป็นประเทศเล็กๆ 10 ประเทศ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าในประเทศจีนมีการศึกษาและมีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศอาเซี่ยนมากน้อยแค่ไหน ขณะนี้ถ้าใครต้องการที่จะไปหาข้อมูลของประเทศสมาชิกอาเซี่ยน ก็ต้องไปที่สถานทูตประเทศอาเซี่ยน ต้องไป 10 แห่งจึงจะได้ข้อมูลครบถ้วน แต่ว่าเมื่อมีศูนย์แล้ว ไปเพียงแห่งเดียวก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและด้านวัฒนธรรมของทุกประเทศ ฉะนั้น ถ้านักุรกิจอยากที่จะมาทําการค้ากับอาเซี่ยน ก็สามารถไปที่เดียวก็ได้ข้อมูลทุกอย่างสําหรับอาเซี่ยน อันนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับจีนอย่างมาก ซึ่งผมก็เรียกศูนย์นี้ว่าเป็น one-step-service ในอนาคต เมื่อเราพูดถึงว่าเราจะมีการรวมตัว มีการเชื่อมโยงกันทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวมากขึ้น เราก็ต้องมีเส้นทางคมนาคมที่ดี ในครั้งนี้ ท่านนายกฯไทยก็เสนอให้มีการเชื่อมโยงด้านคมนาคม จะส่งเสริมให้มีการสร้างเส้นทางซึ่งชื่อว่า R3 จากทางใต้ของจีนผ่านลาวมาที่ประเทศไทยให้เสร็จ ฝ่ายจีนจะได้ประโยชน์ในการที่จะขนส่งสินค้าจากจีนมาอาเซี่ยน และนําสินค้าจากอาเซี่ยนไปจีน ให้ประชาชนทางใต้ของจีนเดินทางมาเที่ยวอาเซี่ยนได้ง่ายขึ้น ซึ่งอันนี้ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่จีนเองก็สนใจ แล้วเรื่อง Asean-China-Center จีนเองก็ให้ความสนใจ และได้รวมเรื่องนี้ไว้ในแถลงการณ์ร่วมของการประชุมนี้อยู่แล้ว ครั้งต่อไปเราจะพยายามทําให้ข้อเสนอนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมา และก็หวังว่าจะมีการจัดตั้งศูนย์ภายในปีหน้า ที่กรุงปักกิ่ง แล้วอีกหน่อยอาจจะขยายไปที่เมืองใหญ่ๆของจีนด้วย เช่นเซี่ยงไฮ้ กวางโจวและฮ่องกงด้วยนะครับ"
|