ในช่วง 25 ปีที่ผ่าน อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนถัวเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี คิดเป็นสองเท่าของประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ และสามเท่าของประเทศพัฒนาส่วนใหญ่
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้สัดส่วนของจีนในเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 3.4% เมื่อปี 1980 เป็น 15.4% เมื่อปี 2005 ขณะที่ของสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลกคงไว้ที่ระดับ 21% แต่สัดส่วนของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปลดลงจาก 29% เหลือ 21%
ในระหว่างปี 1990-2006 การบริโภคถ่านหินและพลังงานขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ส่วนการบริโภคน้ำมันปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจาก 232 ล้านบาร์เรลเป็น 744 ล้านบาร์เรล มากกว่าการบริโภคน้ำมันปิโตรเลียมของอินเดียอย่างมาก การเติบโตด้านการบริโภคพลังงานของจีนสูงกว่าระดับเฉลี่ยของโลก
ในด้านวัตถุดิบชนิดอื่นๆ จีนเป็นประเทศนำเข้าเหล็ก สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง และนิเกล สัดส่วนการบริโภควัตถุดิบ 5 ชนิดนี้คิดเป็น 15%-33% ของโลก
ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศใหญ่ในการสำรองเงินตราต่างประเทศ ปี 2007 จีนมีเงินตราต่างประเทศสำรอง 14,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าญี่ปุ่นมากกมาย
การลงทุนของวิสาหกิจจีนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 8,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯเมื่อปี 1990 เป็น 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯเมื่อปี 2005
นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 4,500,000 คนเมื่อปี 1995 เป็น 31 ล้านคนเมื่อปี 2005
ปีหลังๆนี้ จีนยังลงทุนมากมายในการสร้างทางด่วน สนามบิน ท่าเรือ และการขนส่งพลังงาน เป็นต้น ผู้ใช้โทรศัพท์ของจีนก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน
ขณะที่เศรษฐกิจจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ก็ต้องเผชิญกับปัญหาไม่น้อย เช่น เกิดมูลภาวะในแม่น้ำและทะเลสาปอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะภาคเหนือ มีผู้คนอย่างน้อย 60 ล้านคนที่ยังไม่มีน้ำดื่มที่ปลอดภัย ส่วนในด้านคุณภาพของอากาศ ในเมืองที่เกิดอากาศเสียร้ายแรงที่สุด 20 แห่งของโลกปรากฎว่า 16 แห่งอยู่ในจีน
|