นิทรรศการ "ทิเบตในอดีตและปัจจุบัน" (Tibet of China: Past and Present) กำลังจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง นิทรรศการครั้งนี้มีการจัดแสดงเอกสาร โบราณวัตถุ ภาพถ่ายและแผนภาพต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมาก นับเป็นนิทรรศการขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในเขตทิเบตของจีน ตั้งแต่ก่อนปี 1959 ที่ทิเบตยังคงอยู่ในช่วงล้าหลังและมืดมนอันเนื่องจากใช้ระบอบการเมืองกับระบอบศาสนาเป็นระบอบเดียวกันและใช้ระบอบทาสกสิกรแบบศักดินา จนถึงช่วงปัจจุบันที่ทิเบตได้รับการพัฒนาและก้าวหน้าในด้านต่างๆ
ในส่วนของการแสดงทิเบตในช่วงอดีตนั้น มีการจัดแสดงเครื่องลงอาญาตัวจริงที่อดีตผู้ปกครองทิเบตนำไปลงโทษทาสกสิกรพร้อมกับภาพถ่าย คุณโจว ฉางเฟิง ผู้สูงอายุที่เข้าชมนิทรรศการกล่าวว่า
"ความล้าหลังด้านระบบสังคมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทิเบตในอดีตตกอยู่ในสภาพล้าหลัง การผลิตด้อยพัฒนา ในอดีต
ทาสกสิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ไร้ที่อยู่อาศัย โดยต้องไปอยู่ที่ห้องส้วมหรือนาร้าง อีกทั้งไร้ที่ทำกิน เพราะที่ทำกินเป็นของเจ้าของทาสกสิกรทั้งหมด"
ส่วนการแสดงทิเบตในช่วงหลังปี 1959 ซึ่งเป็นช่วงที่ดำเนินการปฏิรูปประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่จีนดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นต้นมานั้น ได้ระบุว่า ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลส่วนกลาง ทิเบตสร้างผลสำเร็จมากมายในด้านต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ คุณอิโป หนึ่งในผู้เข้าชมเป็นพนักงานการรถไฟที่เคยมีส่วนร่วมในการสร้างทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบตและสถานีรถไฟเมืองลาซา นับเป็นผู้ที่พบเห็นการเปลี่ยนแปลงของทิเบตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยตนเอง คุณอิโปกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าเป็นผู้สร้างทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต สถานีรถไฟลาซาก็พวกเราสร้าง ทางรถไฟสายดังกล่าวสวยทีเดียว ใช้เทคโนโลยีสูง รถไฟนั่งสบาย ขณะนี้ มวลรวมการผลิตด้านกิจการท่องเที่ยวของทิเบตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว"
นอกจากนี้ นิทรรศการครั้งนี้ยังได้จัดแสดงเรื่องจีนเข้าปกครองทิเบตในยุคสมัยต่างๆ โดยมีการจัดแสดงหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นวัตถุสิ่งของ เอกสารและจดหมายเหตุจำนวนมาก บรรดาผู้เข้าชมกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาลเป็นหลักฐานมัดตัวว่า ทิเบตเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่โบราณกาล คุณหลิว ซื่อกุ้ย ผู้สูงอายุที่เข้าชมนิทรรศการกล่าวว่า
"ด้วยการเข้าชมวัตถุสิ่งของและจดหมายเหตุต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่ราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) ราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) เป็นต้น สามารถฟันธงได้ว่า ย้อนอดีตไปไกลแค่ไหน ทิเบตก็เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนอยู่แล้ว"
เมื่อเร็วๆ นี้ พระปันเชน ลามะองค์ที่ 11 ซึ่งเป็นประมุขพุทธศาสนานิกายทิเบตก็ได้ไปชมนิทรรศการครั้งนี้เป็นการเฉพาะด้วย และระบุว่า ข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของทิเบต เป็นผลจากการเอาใจใส่และการสนับสนุนของรัฐบาลส่วนกลาง เป็นผลจากการสนับสนุนอันใหญ่หลวงของประชาชนทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นผลจากการใช้ความพยายามร่วมกันของประชาชนชนชาติต่างๆ ในทิเบตด้วย พระปันเชน ลามะองค์ที่ 11 กล่าวว่า
"อัตมาอธิฐานจิตมาโดยตลอด ขอให้มาตุภูมิจงเจริญ ประชาชนชนชาติต่างๆ จงสามัคคีและจงมีความสุข ขอให้งานกีฬาโอลิมปิก 2008 ปักกิ่งประสบความสำเร็จ อัตมาเชื่อมั่นว่า ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทิเบตจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้น ประชาชนทิเบตจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นสุขและดีงามยิ่งๆ ขึ้น"
(Dai/Ho)
|