นวดแผนโบราณจีน ก็เป็นการนวดทั้งเพื่อการผ่อนคลายและยังเป็นการรักษาโรคด้วย
การนวดแผนจีนหรือภาษาจีนเรียกว่า ทุยหนา นั้นก็มีที่มาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว และก็มีการบันทึกในตำรา หวงตี้เน่ยจิง หรือตำราแพทย์แผนจีนฉบับสมบูรณ์ ซึ่งในอดีตใช้วิธีการนวดควบคู่กับการฝึกบริหารพลังภายในหรือชี่กง เพื่อการรักษาโรคกล้ามเนื้อหดลีบ อ่อนแรง อันเนื่องมาจากความผิดปกติภายในเลือดลม
แต่ปัจจุบันการนวดแผนจีนก็ใช้รักษาโรคในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอายุรเวช ศัลยศาสตร์ สูตินารี กุมารเวช และรักษาการบาดเจ็บของร่างกาย และความผิดปกติของหู ตา ลิ้น จมูก ปาก และขยายวงกว้างไปยังสาขาอื่น ซึ่งปัจจุบันการนวดแผนจีนก็ได้รับการตั้งเป็นคณะขึ้นมา เรียกว่าคณะทุยหนา บรรจุเข้าในระบบให้นักศึกษาแพทย์แผนจีนได้เรียนกัน
ได้ข่าวว่าคณะนี้ก็ไม่ใช่เรียนกันง่าย ๆ เลย วิชานวดทุยหนาก็เป็นการนวดที่ให้ความสำคัญกับ "2 ป." คือ ป้องกันและปรับปรุงในส่วนของการป้องกันนั้น พุ่งเป้าไปที่การป้องกันระบบหัวใจและเส้นลมปราณ ช่วยป้องกันความเจ็บปวดต่างๆ อาการเหน็บชาที่มือ ตะคริว กล้ามเนื้อที่แข็งตัว ยึด เพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ปอด ทำให้ปอดฟอกเลือดได้ดีขึ้น
การนวดนั้นก็เป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น และป้องกันไม่ได้เกิดโรคอีกด้วย ซึ่งโรคที่สามารถนวดป้องกันได้ก็อย่างเช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ส่วน ป.ที่สองก็คือการปรับก็พุ่งเป้าไปที่การปรับระบบเลือดลม ระบบเส้นประสาท ระบบการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญและระบบการดูดซึมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนใหญ่คนที่ไปนวดก็จะนวดเพื่อผ่อนคลาย ขจัดความเครียดเมื่อยล้าของร่างกาย หรือไม่ก็คนที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ จริง ๆ แล้วรูปแบบของการรักษาด้วยการทุยหนานั้น ไม่ได้มีแต่เพียงการนวดอย่างเดียว เพราะตามโรงพยาบาลก็มีการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการแมะและการรับประทานยาควบคู่ไปด้วย ซึ่งในขั้นตอนของการกินยานั้นก็เพื่อปรับสภาพระบบพลังในร่างกาย การจ่ายยาก็มีในหลากหลายรูปแบบทั้งยาต้ม ยาทา ยาประคบ ยาอบ อย่างเช่น หลังจากแมะตรวจโรคดูแล้วพบว่า ปอดมีปัญหา หมอก็จะแนำให้ไปซื้อเห็ดหูหนูขาวมาต้มพร้อมกับใส่น้ำตาลกรวดลงไปนิดหน่อยทาน เพราะเห็ดหูหนูขาวนั้นมีสรรพคุณในการบำรุงปอดได้เป็นอย่างดี
สำหรับวิธีการนวดแผนจีน จากการค้นคว้าในตำรับตำราที่สืบทอดมานับพันปีนั้นพบว่ามีนับเป็นร้อย ๆ วิธีเลยทีเดียว แต่ที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่มีทั้งหมด 20 กว่าวิธีด้วยกัน เช่น บีบ ลูบ กด ดัด คลึง ตบ เขย่า โดยจะนวดไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายที่มีกว่า 360 จุดตั้งแต่หัวจนเท้า
ส่วนเทคนิคการนวดที่จำเป็น ก็อย่างเช่นต้องทำไปอย่างต่อเนื่องมีพลัง ใช้แรงสม่ำเสมอ ละมุนละม่อมและลุ่มลึก วิธีการนวดไม่แค่ใช้มืออย่างเดียวเท่านั้น อาจใช้เท้า และข้อศอกได้ด้วย หรือใช้เครื่องมือนวดโดยเฉพาะบางอย่าง บางที่ยังสามารถทายาเฉพาะเสริม เช่นครีมนวด น้ำมันตุงชิง น้ำมันดอกไม้แดง น้ำมันงา ผงหินลื่นหรือสารหล่อลื่นอื่น ๆ และวิธีการนวดนั้นก็มีหลายอย่าง ที่นิยมใช้กันมี วิธีการผลัก การกด การคลึง การบีบ การสั่น การทุบตีและการเหนี่ยว โดยอาจแบ่งเป็นสองประเภทตามผู้นวดที่ต่างกัน คือ นวดด้วยตัวเองและรับการนวดจากผู้อื่น
การรับการนวดก็เพื่อป้องกันและรักษาโรค อย่างการนวดเพื่อปรับกระดูกและการนวดปรับชี่กง ส่วนการนวดตนเองเน้นที่การบำรุงสุขภาพ เช่นการนวดตา การนวดแขนขา การนวดเพื่อบำรุงกระเพาะอาหารและการนวดเพื่อสงบจิตใจเป็นต้น
การนวดแบบจีนให้ความสำคัญกับอวัยวะพื้นฐานที่สำคัญของร่างกาย5 อวัยวะด้วยกันคือ ตับ ไต หัวใจ ปอดและม้าม เนื่องเพราะเป็นอวัยวะที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังของร่างกาย โดยอวัยวะทั้ง 5 มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับธาตุสำคัญทั้ง 5 ใน ศาสตร์การแพทย์แผนจีนด้วยคือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้และโลหะ
ในหลักการนวดแบบจีน หัวใจคือที่ตั้งของธาตุไฟ ตับคือที่ตั้งของธาตุไม้ ปอดคือที่ตั้งของธาตุโลหะ ม้ามคือที่ตั้งของธาตุดิน และไตคือที่ตั้งของธาตุน้ำ เมื่ออวัยวะทั้ง 5 ผิดปกติ ก็ทำให้ร่างกายมีปัญหา ดังนั้น การนวดก็เป็นการปรับอวัยวะที่มีปัญหาเหล่านั้นให้กลับคืนมาเหมือนเดิม
จาก 5 อวัยวะและ5 ธาตุ ก็มาสู่ 5 หลักการในการรักษาโรค ประกอบไปด้วยหลักการแรก คือการปรับระบบเลือดลมให้ไหลเวียนได้สะดวกและเข้มแข็ง 2.คือการปรับความสมดุลให้ธาตุทั้ง 5 ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงอวัยวะทั้ง 5 สำหรับหลักการ 2 ข้อนี้จะสั่งจ่าย "ยา" เพื่อปรับสภาพให้กลับคืนมาเหมือนเดิมด้วย
หลักการข้อที่สาม คือการปรับระบบโครงสร้างหลักของร่างกายที่ผิดปกติ เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น เส้นเลือดที่มีปัญหา เคลื่อนไปจากตำแหน่งที่ถูกต้องหรือถูกกดทับเอาไว้ และสี่ คือการปรับร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากภายนอก โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เช่น ร้อนเกินไป เย็นเกินไปจนทำให้เกิดผลข้างเคียงกับการทำงานของอวัยวะอื่น ซึ่งผลตามมา อย่างเช่น คนที่เป็นเหน็บ เป็นตะคริวง่าย ๆ
|