China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2008-07-28 14:46:57    
ยาจีน
รายการช้างเผือกเลือกที่จะรู้

cri

เวลาป่วย คนจีนมักจะทานยาจีนมากกว่ายาฝรั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาฝรั่ง แต่ก่อนเวลาทานยาจีนจะรู้สึกขมมาก แล้วก็ต้องทานในปริมาณมากด้วย

แต่ว่าเดี๋ยวนี้วิวัฒนาการของยาจีนพัฒนาขึ้นมากแล้ว แม้ยาต้มจะยังมีอยู่ แต่ว่าเรามีทางเลือกอื่น เพราะว่านอกจากยาต้มแล้ว ก็มียาอัดเม็ด และยารูปแบบอื่นๆให้เลือกทานมากขึ้น สะดวก และก็ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนทานยาฝรั่ง

คำว่ายาจีน เกิดขึ้นมาหลังจากที่การแพทย์แผนตะวันตกเผยแพร่เข้าสู่จีนแล้ว เพื่อแยกการแพทย์สองประเภทออกจากกัน จึงได้มีคำว่า"ยาจีน"เกิดขึ้น

ปัจจุบัน จีนได้บุกเบิกและใช้ยาสมุนไพรกว่า 8,000 ชนิด ในจำนวนนี้ก็มี 600 กว่าชนิดที่นิยมใช้กัน ไม่ว่าชนิดหรือ ปริมาณ ต่างก็จัดอยู่ในอันดับแรกของโลก ยาจีนนอกจากจะสอดคล้องกับความต้องการภายในประเทศแล้ว ในตลาด ต่างประเทศก็มีความต้องการยาจีนสูงมาก ปัจจุบัน ยาจีนยังได้ส่งออกไปยัง 80 กว่าประเทศทั่วโลก

ยาจีนส่วนใหญ่ได้มาจากยาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงมีผลข้างเคียงน้อย และยาชนิดหนึ่งจะรวมสารหลายชนิด ซึ่ง นำไปใช้รักษาโรคได้หลายอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล ยาจีนมักจะใช้ยาหลายชนิดผสมเข้าด้วยกัน ด้วยการ ผสมยาที่สมเหตุสมผล ทำให้สามารถใช้รักษาโรคที่รักษายากและให้ได้ผลมากขึ้น

การผลิตยาจีนใช้หลักการพื้นฐานที่สำคัญ คือความเข้าใจในเรื่องของลมปราณ 4 คือหนาว ร้อน อุ่น เย็นและิ 5 รสชาติ คือเปรี้ยว ขม หวาน เผ็ดเค็ม นอกจากนี้ยังรวมความเข้าใจเรื่อง การเพิ่มขึ้นลดลง การลอยและจมลึก การคืนพลังและความเป็นพิษ

เพื่อใช้ยาจีนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เราต้องเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการผสม ว่าจะเลือกทานยานี้คู่กับยาอะไร นอกจากนี้ก็ยังต้องเข้าใจ ข้อต้องห้าม อย่างเช่น ข้อต้องห้ามในช่วงตั้งครรภ์ ข้อต้องห้ามเกี่ยวกับอาการของ โรค หรืออาหารที่ห้ามทานคู่กับยา ปริมาณยาที่ใช้ รวมถึงสัดส่วนของยาชนิดต่างๆในยาแต่ละชุด

จากบันทึกต่าง ๆ ทำให้เราทราบว่า ยาจีนมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ยแล้ว ใน "คัมภีร์ซือจิง"ของราชวงศ์ซีโจวก็มีบันทึก เกี่ยวกับยาฉบับเก่าแก่ที่สุด และ ส่วน"คัมภีร์เน่ยจิง" เป็นตำราแพทย์แผนจีนที่เก่าแก่เช่นกัน ในคัมภีร์มีการกล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างรสชาติทั้ง 5 คือเปรี้ยว เผ็ด ขม เค็ม หวาน กับอวัยวะทั้ง 5 ในร่างกายคือตับ ไต ปอด หัวใจ ม้าม และการบำรุงอวัยวะทั้ง 5

ซึ่งข้อมูลนี้ถือเป็นพื้นฐานทางทฤษฎีของยาจีนทีเดียวเลย ในสมัยราชวงศ์ถังเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองมาก มีส่วน ส่งเสริมการพัฒนายาจีน รัฐบาลถังได้เรียบเรียงตำรายาสมุนไพรชื่อ"ถังเปิ่นฉ่าว"ซึ่งนับเป็นฉบับแรกของโลก หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกตัวยาไว้ 850 ชนิด และมีภาพวาดของยาชนิด ต่างๆด้วย

นับตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้นเมื่อปีค.ศ.1949 จีนได้ดำเนินงานวิจัยและศึกษาเกี่ยวกับยาจีนในหลาย ด้าน ได้มีการก่อตั้งองค์กรวิจัย ศึกษาและผลิตเกี่ยวกับยาจีนต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้การแพทย์จีนได้รับความนิยม มากขึ้น ไม่เฉพาะแต่ในจีนเท่านั้น ประเทศต่างๆทั่วโลกก็ให้ความสนใจการรักษาแบบจีนมากขึ้น