คํ่าเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พิธีเปิดงานสีสันแห่งสายนํ้ามหกรรมลอยกระทงประจําปี 2551 ได้จัดขึ้น ณ สวนสันติไชยปราการ ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นจํานวนมาก โอกาสนี้ นายอัครพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์ลู่หย่งเจียง ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอประจํากรุงเทพฯ โดยบรรยายสรุปการจัดงานครั้งนี้ให้ฟังว่า
อัครพล พฤกษะวัน:ในปีนี้เราร่วมกับทางกรุงเทพฯ จัดงานมหกรรมลอยกระทง ให้ชื่อว่าสีสันแห่งสายนํ้ามหกรรมลอยกระทง โดยจัดตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤศจิกายน วันนี้เป็นวันพิธีเปิดคือวันที่ 9 ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ เรามีการจัดการแสดงแบบไทยๆ ที่สวนสันติไชยปราการ มีการสาธิตให้เห็นการลอยกระทงในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทยว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร จะมีบริเวณของจังหวัดสุโขทัย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตราด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสงขลา ร่วมกันลอยกระทง ซึ่งทั้งหมดจะมี 6 พื้นที่ด้วยกันรวมทั้งกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นว่าการจัดลอยกระทงนั้นเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ในเรื่องของพิธิเปิด จะมีกิจกรรมการแสดงซึ่งหาดูได้ยากตั้งแต่สมัยต้นโกสินทร์ และยังมีการประกวดเรือ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมเด่นของการจัดงาน ก็คือประกวดเรือประดับไฟฟ้า ซึ่งในปีนี้ก็มีเรือมาร่วมงานมากมาย แต่เราคัดเลือกเฉพะเรือที่มีแนวคิดสวยงาม และให้เขาร่วมการประกวดทั้งหมด 15 ลํา นอกจากนั้น ในงานลอยกระทงยังมีการส่งเสริมให้ท่องเที่ยวทางนํ้า เราร่วมกับสมาคมเรือไทยจัดให้มีเรืออาหารในช่วงเดือนพฤศจิกายนทั้งเดือน เรือของสมาคมเรือไทยกว่า 150 ลําในช่วงเย็นจะมีการมาล่องเรือ มีการทานอาหารบนเรือ และก็มีการประดับตกแต่งด้วยไฟ นอกจากนั้น ยังจะมีเรื่องการจัดทัวร์ทางนํ้า ให้ชื่อว่า"หนึ่งสายนํ้า 3 วัฒนธรรม" ทัวร์ทางนํ้าจะออกทุกเย็นเวลา 6 โมงเย็นที่ท่าสาทร เพื่อล่องไปดูวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ ริมแม่นํ้าเจ้าพระยาในช่วงเย็น ซึ่งมีวัฒนธรรมไทย จีนและมุสลิมด้วย คาดว่านักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในช่วงงานเฉพาะในมหานคร ก็ไม่ตํ่ากว่า 7 แสนคน นอกเหนือจากนี้ยังจะไปร่วมงานอื่นอีกมากมาย ทั่วประเทศไทยเป็นล้านคน ตอนนี้เราคาดกันว่าในช่วงการจัดงานเทศกาลลอยกระทงรายได้ทั่ประเทศน่าจะไม่ตํ่ากว่า 8,000 ล้านบาท
นายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานพิธีเปิดงาน ได้กล่าวเน้นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในเทศกาลลอยกระทงขณะ
วีรศักดิ์ โควสุรัตน์:ในปีนี้ เราตั้งใจที่จะให้บรรดาชุมชน ชาวบ้านได้มีโอกาสมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้เขาได้มีโอกาสนําเสนอความแตกต่างของวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละพื้นที่ ปีนี้งานจะเน้นเป็นเรื่องของการเจาะเข้าไปถึงรากฐานของวัฒนธรรมประเพณีของพื้นที่ต่างๆ เพราะว่าเราเห็นว่าความแตกต่างด้านประเพณีของชุมชนในประเทศไทยนั้นเป็นเสน่ห์ อยากจะให้คนไทยได้รู้จักว่าความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยจําลองให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันทั้งกับธรรมชาติและอยู่ร่วมกันระหว่างคนในชุมชนกันเองมาได้เป็นเวลานับหลายร้อยปี เทศกาลที่การท่องเที่ยวประเทศไทยประสงค์ที่จะให้ก้าวไปสู่การเป็นเทศกาลระดับนานาชาติมีสักสองสามอย่าง อย่างแรกก็คือเทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นการโชว์ประเทศไทยในยามคํ่าคืน สะท้อนเสน่ห์ในสายนํ้า ส่วนเทศกาลที่สองคือเทศกาลสงกรานต์ ในช่วงเดือนเมษายนของทุกๆ ปี อันนั้นก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงนํ้าใจของคนไทย และประเพณีสนุกสนานของคนไทยในการเล่นนํ้า รดนํ้าอวยพรเข้าวัด ทําบุญกันในยามกลางวันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีกประเพณีหนึ่งก็คือการแสดงให้เห็นถึงการเป็นชาวพุทธที่มั่นคงของคนไทย คือเทศกาลเห่เทียนเข้าพรรษา
คุณดวงแข ทองมีชูและคุณฐิติพร มณีเนตร ผู้เข้าร่วมพิธีเปิดงานครั้งนี้ก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกต่อเทศกาลลอยกระทงขณะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
ดวงแข ทองมีชู:ชื่อดวงแข ทองมีชู
ผู้สื่อข่าว:คุณในฐานะเป็นคนไทยให้ความสําคัญอย่างไรแก่เทศกาลลอยกระทง
ดวงแข ทองมีชู:ให้ความสําคัญมากค่ะ เพราะว่าเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่เนิ่นนานมาก สมัยบรรพบุรุษแล้วค่ะ เป็นหน้าตาของประเทศในเทศกาลที่เราจะฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ฐิติพร มณีเนตร:สวัสดีค่ะ ดิฉันฐิติพร มณีเนตร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีนี้นับว่าเป็นปีที่สําคัญ เพราะว่าเราได้เฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทงมาทุกปี แต่ปีนี้เราจัดยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อน เพราะว่าประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตการต่างๆ มา ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่น่าเที่ยว และก็มีประเพณีที่น่าสนใจ เป็นประเพณีเก่าแก่ของคนไทยที่เราได้รักษาเอาไว้่ สําหรับดิฉัน ในทุกเทศกาลลอยกระทง ลูกๆ ก็จะทํากระทงที่รักษาสิ่งแวดล้อม เพราะทางโรงเรียนเขาสอน ทํากระทงจากกล้วย จากใบตอน เสร็จแล้วเขายังทําเพื่อคุณพ่อคุณแม่ด้วย เราก็จะไปลอยกระทงในแม่นํ้าใกล้ๆบ้านค่ะ
|