เมื่อปี 1978 พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของจีนได้จัดการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ ซึ่งมีความหมายทางประวัติศาสตร์สำคัญยิ่ง เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของการปฏิรูปและเปิดประเทศ ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง กิจการทางการทูตของจีนก็ได้เข้าสุ่ยุคใหม่ นายเจิ้งฉี่หรง รองผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ทางการทูตจีนกล่าวกับผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอว่า
"ช่วงเวลา 30 ปีของการปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นระยะเวลาที่จีนปรับปรุงนโยบายด้านการต่างประเทศอย่างสันติ โดยยืนหยัดหลักการความเป็นเอกราชและเป็นตัวของตัวเอง ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กิจการต่างประเทศของจีนได้ประสบผลสำเร็จมากมาย ซึ่งเป็นการสืบทอดและพัฒนาตามแนวความคิดของอดีตผู้นำจีน อาทิ เหมาจือตุงและโจวเอินไหล ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการปรับปรุงแนวคิดสำคัญบางอย่างตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก ทำให้สถานการณ์ทางการต่างประเทศของจีนดีขึ้นเรื่อย ๆ "
ปี 1978 จีนเริ่มดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนของเวลานั้นกล่าวว่า กิจการการต่างประเทศต้องเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความทันสมัยของประเทศจีน นโยบายด้านการต่างประเทศของจีนค่อย ๆ เปลี่ยนจากลักษณะเชิงต่อสู้เป็นการต่างประเทศที่สันติ เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง
ภายใต้นโยบายดังกล่าว ปี 1979 จีนกับสหรัฐ ฯ ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้ผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศใหญ่ในตะวันตก ปี 1989 นายกอร์ปาร์ชอฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียมาเยือนจีน และพบปะกับเติ้งเสี่ยวผิง ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศฟื้นฟูสู่ปกติ
นายหวางอี้โจว รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและการเมืองโลกของสภาวิทยาศาสตร์สังคมจีนกล่าวว่า
"เติ้งเสี้ยวผิงเคยกล่าวไว้ว่า เราคงสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามโลกอีกครั้ง หมายถึงเราคงสามารถร่วมใจร่วมแรงกัน พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานให้กับการกำหนดนโยบายหลักของจีน คือมุ่งสันติภาพ การพัฒนาร่วมกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นับเป็นป้ายบอกทางในนโยบายด้านการต่างประเทศของจีน "
ตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 1990 กลุ่มผู้นำจีนรุ่นที่ 3 ที่มีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ พยายามพัฒนามิตรสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ร่วมกันสร้างระบบใหม่ของการเมืองและเศรษฐกิจโลก ฐานะในเวทีสากลของจีนสูงขึ้น ในช่วง 10 ปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 จีนกับสหรัฐ ฯ ได้กลายเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียก็ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรปได้รับความสนใจอีกครั้งจากผู้นำจีน เจ้าหน้าที่ทางการทูตของจีนไปเยือนทวีปลาตินอเมริกา ทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลางมีบ่อยครั้ง นอกจากนั้น ภายใต้นโยบาย "ถือประเทศเพื่อนบ้านเป็นมิตร" ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศรอบข้างนับวีนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
จีนพยายามปฏิบัติพันธกรณีของตนในกิจการระหว่างประเทศ ทำให้ประชาคมโลกตระหนักว่า การแก้ปัญหาสำคัญของโลกต้องมีจีนเข้าร่วม เพื่อแก้ปัญหานิวเคลียร์ของคาบสมุทรเกาหลีอย่างสันติ รัฐบาลจีนพยายามไกล่เกลี่ย ส่งเสริมการจัดการเจรจา 6 ฝ่ายเกี่ยวกับปัญหานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งประกอบด้วยจีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ สหรัฐ ฯ ญี่ปุ่นและรัฐเซีย และร่วมกำหนดหลักการ จนถึงขณะนี้ กระบวนการปลอดนิวเคลียร์ของคาบสมุทรเกาหลีประสบผลคืบหน้าอย่างแท้จริง
ย่างเข้าศตวรรษที่ 21 จีนมีความสุขุมรอบคอบและความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการดำเนินกิจการต่างประเทศ และมุ่งในเรื่องที่ปฏิบัติเป็นจริงได้ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การสร้าง โลกสมานฉันท์ กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในกิจการต่างประเทศของจีน นายหูจิ่นเทา ประธานาธิบดีจีนกล่าวว่า
"ประชาชนจีนยินดีร่วมมือกับประชาชนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งเสริมความสามัคคี กระชับความร่วมมือ ร่วมกันสร้างโลกสมานฉันท์ที่มีสันตภาพถาวรและเจริญรุ่งเรื่องร่วมกัน"
(Min/Lin)
|