หลี่ชิงหมิง อายุ 16 ปี เป็นนักเรียนชั้นม.2 ในเมืองหยิงชวน มณฑลกานซูทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน บ้านของเขาตั้งอยู่ในหุบเขา ทุกคนในครอบครัวเป็นชาวนา และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ธรรมดาแล้ว สำหรับเด็กชาวนาแบบนี้ การได้เข้าเรียนเป็นความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้เลย และเพื่อให้พี่สาวและพี่ชายของเขาสามารถจะเรียนต่อจนจบ เขาเกือบจะต้องหยุดเรียนกลางคัน แต่ว่า มีนโยบายอย่างหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนทำให้ความฝันในการเรียนหนังสือของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้
"เราไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมอีก และโรงเรียนยังจะให้เงินช่วยเหลือแก่เด็กนักเรียนที่ยากจนเป็นเงิน 70 หยวนต่อเดือน สำหรับเด็กนักเรียนจากชนบทแล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งและสำคัญมาก"
นโยบายนี้เรียกว่า "การปลอดค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียมและให้เงินช่วยเหลือ" เมื่อหลายปีก่อน จีนได้เริ่มดำเนินนโยบายนี้ในชนบท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า การศึกษาภาคบังคับของจีนเริ่มดำเนินการให้ฟรีในชนบทแล้ว และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในประวัติศาสตร์ 20 ปีที่ผ่านมา
เมื่อปีก่อน 60 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้น ประชากรกว่า 80% ทั่วประเทศเป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ อัตราการเข้าโรงเรียนประถมมีเพียง 20% และอัตราการเข้าโรงเรียนมัธยมเพียง 6% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กลายเป็นเรื่องสำคัญมาโดยตลอดของรัฐบาลแต่ละสมัย
เมื่อปี 1986 จีนได้ประกาศกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ โดยกำหนดว่า จะดำเนินการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลา 9 ปี และต้องปกป้องสิทธิการได้รับการศึกษาระดับประถมและมัธยมของเด็กนักเรียนที่มีอายุเหมาะสม นับแต่นั้นมา การศึกษาขั้นพื้นฐานของจีนได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ถึงปลายปี 2007 จำนวนประชากรที่มีอายุอันเหมาะสมทั่วประเทศจีน กว่า 99.3% ได้รับการศึกษาภาคบังคับแล้ว
แต่ว่า เนื่องจากจีนมีประชากรจำนวนมาก และการคลังส่วนกลางมีงบประมาณไม่เพียงพอ ดังนั้น นานมาแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับยังต้องให้ครอบครัวของเด็กนักเรียนแบกรับเอง แต่สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยหรือครอบครัวที่ยากจนมากนั้น ค่าเล่าเรียนดังกล่าวนั้บเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยดีเดีย เช่น ครอบครัวของหลี่ชิงหมิงที่มีที่นาไม่ค่อยใหญ่จึงไม่มีรายได้อื่นๆ เขากล่าวว่า ในอดีต พอถึงเวลาจ่ายค่าเล่าเรียน ใบหน้าพ่อแม่จะเต็มไปด้วยความกังวล
"ก่อนรัฐบาลใช้นโยบายนี้นั้น เราต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมรวมแล้วกว่า 400 หยวนต่อปี ถ้ารวมถึงค่าครองชีพ ทุกปีอาจจะต้องการเงินกว่า 1,000 หยวน สำหรับครอบครัวอย่างเรามีความยากลำบากมากในการหาเงินจำนวนนี้มา"
เพื่อสะสมค่าเล่าเรียนให้เพียงพอ พ่อกับแม่ต้องพยายามประหยัดทุกวิถีทางและบางที่ก็ต้องยืมเงินจากญาติพี่น้อง แต่ว่าก็ยังไม่ไหวอยู่ดี แม่ของหลี่ชิงหมิงจึงตั้งใจว่า จะให้ลูกที่มีอายุน้อยที่สุดหยุดเรียนและทำมาหากินที่บ้าน พอดีมีข่าวว่า ปี 2006 รัฐบาลจีนได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ และกำหนดว่าจะใช้นโยบายการยกเลิกค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียม ตลอดจนการให้เงินช่วยเหลือด้านอื่นๆด้วย
เมื่อได้ข่าวนี้แล้ว แม่ของหลี่ชิงหมิงเกือบไม่เชื่อหูตนเอง เพราะทุกๆปี เธอนอกจากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายของเด็กๆได้หลายร้อยหยวนแล้ว ยังสามารถได้รับเงินช่วยเหลือด้านชีวิตความเป็นอยู่อีกประมาณ 900 หยวน ขณะเล่าถึงเรื่องนี้ เธอรู้สึกดีใจมากและกล่าวว่า
"นโยบายของรัฐบาลนี้ได้แบ่งเบาภาระของเราอย่างมาก เรารู้สึกดีใจมาก"
หลังจากปัญหาค่าเล่าเรียนได้รับการแก้ไขตกไปแล้ว แรงกดดันทางจิตใจของหลี่ชิง หมิงได้หายหมดไป และพยายามตั้งใจเรียนหนังสือต่อ ด้วยความมานะและทำคะแนนได้ดีขึ้นทุกปี
สถิติจากกระทรวงศึกษาธิการจีนระบุว่า ถึงปี 2007 เด็กนักเรียนในชนบทที่ได้รับประโยชน์จากการนโยบายนี้มีกว่า 150 ล้านคน
และไม่เพียงแต่ในชนบทเท่านั้น นับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2008 เป็นต้นมา จีนได้ยกเลิกค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมทั้งหมดในเมืองต่างๆด้วย
ปัจจุบัน หลี่ชิงหมิงไม่เพียงแต่มีโอกาสได้เรียนต่อเท่านั้น สภาพภายในโรงเรียนของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ปัจจุบัน อาคารเรียนที่กว้างใหญ่และสะอาดได้ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนห้องเรียนเตี้ย ๆ ที่ทำด้วยดินทราย เก้าอี้และโต๊ะหนังสือได้รับการเปลี่ยนให้ใหม่หมด ปัจจุบัน ที่โรงเรียนยังสามารถดูทีวีและใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ด้วย
หลี่ชิงหมิงรู้ว่า เขาเกิดมาในยุคที่ดียิ่ง ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียง 60 ปี จีนได้พัฒนาจากประเทศที่ยากจนในอดีตกลายเป็นประเทศที่นำหน้าด้านการศึกษา และกำลังใช้ความพยายามเพื่อสร้างสมดุลด้านการศึกษาทั่วประเทศด้วย ปัจจุบัน จีนยังพยายามสนบัสนุนให้ทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กนับพันนับหมื่นคนมีโอกาสก้าวถึงความฝันของพวกเขาด้วยการได้รับการศึกษาอย่างก้าวหน้า
ท่านผู้ฟังครับ รายการ 60 ปีจีนใหม่ของวันนี้ขอยุติลงเพียงเท่านี้ สวัสดี
|